บทความแนะนำอ่าน:D

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

รีวิว BB Cream ตัวไม่ดัง แต่ขั้นเทพพพ

  หายได้ 2 เดือนนนนนนน คุณพระ!!! นี่อิฉันยุ่งขนาดที่ไม่มีเวลารีวิวเครื่องสำอางที่รักมา 2 เดือนเลยรึนี่ โอ๊ยย อกอีแป้นจะแตกกระแทดแร่ดเจ้าค่าาา

    กราบสวัสดีทุกๆท่านอีก 1 รอบ มารายงานตัวแล้วค่ะ   หลังจากที่ห่างหายไปนาน คราวนี้อิฉันจะมาพูดถึง Foundation ให้หนำใจไปเรยยยย  เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ได้มาเขียนบล็อกไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ลองอะไรใหม่ๆนะคะ  ซุ่มอยู่ๆ อิอิ  ไหนๆก็ไหนๆ เริ่มกันเลยดีกว่า!!!!!!!



      ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า First Impression ของหนังหน้าเราเวลาคนมองนั้น ไม่ได้อยู่ที่อายแชโดว์ การคัดเว้า ขนยางอนเป็นแผง ปากแดงเหมือนเลือดนกนะคะ  แต่..แต่อยู่ที่พื้นผิวหรือTexture ของใบหน้าเราค่ะ  ใครๆก็ชอบมนุษย์หน้าใสไร้สิว คงไม่มีใครอยากมองหลุมดวงจันทร์ที่โดนบุกกายาตหล่นทับมาอีกที (....เอ่อ อันั้นก็เว่อไปนี๊สสส)  เอาเป็นว่าสภาพผิวหน้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และเป็นขั้นแรกขั้นพื้นฐานของการแต่งหน้าเลยทีเดียวค่ะ 

      แต่การจะมีผิวหน้าดีขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการบำรุงด้วยค่ะ ( รีวิวSkin care http://ninenile.blogspot.com/2013/04/review-skincare.html ) แต่นอกจากการบำรุง ก็มาถึงขั้นตอนแต่งหน้า ซึ่งคงหนีไม่พ้นเบส บีบี ซีซี รองพื้น  ที่จะเนรมิตหลุมดวงจันทร์ให้กลายเป็นฟองน้ำสก็อตไบรท์
  วันนี้อิฉันจะมาพูดถึงเรื่องของเบส และบีบี เป็นอันดับแรกค่ะ  เนื่องจากนักศึกษาเรียบร้อย ( ช่ายยหรอออ) ก็ชอบการแต่งหน้าแนวใสๆ เบาๆ แบบตื่น 8 โมงเรียน 8 โมงครึ่งแล้วหน้ายังเป๊ะอยู่ได้ อะไรแบบนั้น
ซึ่งจุดนี้ตัวที่ตอบโจทย์ที่สุดคงเป็น BB Cream หรือฝรั่งเรียกว่า Beauty balm นั่นแล


       เจ้าตัวบีบีนี้ต่างจากรองพื้นยังไง??? คำถามยอดฮิตมากกกกก  บอกเลยว่าต่างตรงที่บีบีผสมทุกอย่างตั้งแต่ครีมบำรุง ครีมกันแดด มอยเจอร์ไรเซอร์ รองพื้น เอาเป็นว่ารวมทุกอย่างที่หนังหน้าต้องการมาไว้ในหนึ่งเดียว!!!!  




                                                            อะไรจะวิเศษปานฉะนี้!!!!!!!!!

วันนี้ขอนำเสนอบีบี 3 ตัวเรียงตั้งแต่ราคาต่ำไปสูง กันเลยทีเดียวค่ะ

1.Maybelline clearsmooth BB cream 





ราคา  ตอนซื้อ 199 บาท ( ไม่แน่ใจโปรโมชั่นรึป่าว)

Texture :   ตัวนี้เนื้อจะกลางๆนะคะ ไม่เหลวไม่ข้น สีจะออกแทนๆนิดนึงคือคนผิวขาวโอโม่น่าจะไม่มีเฉดสีที่โอเคให้

สัมผัสในการใช้ :  รู้สึกหนักนิดๆในความรู้สึก แต่การปกปิดโอเคเลยค่ะ การปกปิดรู้สึกเหมือนรองพื้น คือปิดไปเลย เรียบๆเนียนๆ ไม่มีการแง้มให้เห็นผิวใสๆของเรา อะไรแบบเกาหลี แมตๆ ไม่วิ้ง ไม่ดิวอี้ ใครที่ชอบอารมณ์รองพื้นเรฟลอน หรือความเนียนไม่ต้องสงไม่ต้องใส น่าจะชอบตัวนี้ค่ะ  แต่ส่วนตัวไม่ค่อยชอบโทนสี เราว่ามันมืดๆไปหน่อย ระหว่างวันมีการดรอปลงของสี หน้าจะมืดลงค่ะ และมันบริเวณทีโซน แต่เมื่อเทียบกับราคาก็ถือว่าสมเหตุสมผลแล้วค่ะ


2. Ettusais mineral white 



ราคา  980 แต่ซื้อที่ eve and boy 670 บาทค่ะ

Texture  :  ตัวนี้ทางแบรนด์เคลมมาว่าใช้แล้วผิวเหมือนเด็ก เนื้อจะไม่หนาค่ะ พอดีๆ หนึบนิดๆสไตล์ครีมกันแดดเยอะ  จริงๆสูตรนี้เป็นสูตรที่ 2 สูตรก่อนหน้านี้จะไม่มีคำว่า White คือเป็น mineral เฉยๆหลอดสีชมพู ความแตกต่างของเนื้อคือ ตัวเก่าจะกันแดดน้อยกว่า ทำให้เหลวกว่า(แต่ไม่เหลวแบบน้ำนะคะ) ทำให้เกลี่ยง่ายกว่าตัวนี้ค่ะ แต่..แต่ แต่ตัวนี้ปกปิดเนียนกว่าค่ะ

สัมผัสเวลาใช้ :  จะรู้สึกเบาๆค่ะเหมือนทาครีมกันแดด แต่เพิ่มออปชั่นการปกปิดขึ้นมา พอทาแล้วก็จะเนียนแบบผิวเด็กจริงๆ คือรูขุขมขนดูเล็กลง และดูแบบเห้ยยยย....หน้าเนียน แต่ไม่แมตนะคะ แบรนด์นี้ของญี่ปุ่น สไตล์เค้าจะแย้มผิวให้เห็นของจริงบ้างอะไรบ้าง ใครที่หลุมเยอะๆ ไม่ต้องการแง้มผิว ตัวนี้น่าจะไม่ใช่ทางเลือก แต่ใครที่แบบว่ามั่นหน้า (แบบดิชั้น 0.0) น่าจะชอบตัวนี้ค่ะ เริ่ด ตกบ่ายก็จะมันบริเวณทีโซนนิดหน่อยค่ะ แต่หน้ายังใสเอ๊าะอยู่ แต่มีข้อเสียที่รู้สึกว่าบีบีไม่ค่อยติดหน้า คือตกเย็นเหมือนมันจะหายไปแล้ว  ประหนึ่งหน้าไม่มีบีบีมาก่อน  ดังนั้นอันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเฉพาะอิฉันหรือคนอื่นก็เป็นด้วยค่ะ  ดังนั้นเมื่อเทียบกับราคาก็ 50 50 ค่ะ



                             สภาพหน้าตอนทาไปประมาณ 4 ชั่วโมงอยู่หน้าเตาชาบูมาแล้ว 1 ชั่วโมงครึ่ง



3.Shu Uemura BB cream

ราคา : 1600 บาท 0.0!!
Texture : เหลวๆค่ะ ไม่หนืด แต่ปกปิดดีมากกกก  และเบามากกก แบรนด์นี้เป็นแบรนด์พรีเมี่ยมของญี่ปุ่นค่ะ ราคาจึงสูงและ high performance มานิ่งๆนานๆ ตัวนี้พอใช้แล้วจะรู้เลยว่าเนื้อเหลว เกลี่ยง่าย ไม่ซึมไว และได้ลุดโกลว์
สัมผัสเวลาใช้ : รู้สึกง่ายค่ะ แบบเอาออกมานิดเดียว เกลี่ยๆ เสร็จ ไม่ต้องบี้ ไม่ต้องนวดวนๆนาน แป๊บเดียวเริ่ด  และส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบลุคแมต ชอบแบบโกลว์หน่อยๆ ตัวนี้เลยตอบโจทย์เลยค่ะ แต่ข้อเสียคือ..ราคา!!!!  ช่วงโหดหินทมิฬใจอะไรเช่นนี้  ดังขูดรีดเลือดมาซื้อกันเลยทีเดียว  แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่า บีบนิดเดียวก็ทั่วหน้า หลอดนึงใช้ได้นาน ก็พอกล้อมแกล้มอดรับประทานอาหารแล้วควักตังค์จ่ายได้ สำหรับคนที่ยอมอดรับประทานนะคะ แต่อิฉัน อดไม่ได้ ฮืออออ T_T

     


                                                     สภาพหนังหน้าตอนใช้ Shu BB cream ค่ะ


       จบแล้วนะคะสำหรับรีวิวบีบี ที่ทำให้ผิวสวยใสสไตล์นักเรียนได้แบบไม่เว่อร์ไม่วอกและไม่แก่จนเกินไปค่าาา  ใครที่ชอบลุคใสๆ สบายผิว ลองใช้ตัวบีบีก่อนได้ แล้วค่อยพัฒนาเป็นเรียบเนียนสนิทแบบรองพื้นนะคะ  สำหรับการรีวิวครั้งนี้ สอนให้รู้ว่าของถูกและดียังมี  แต่ของแพงที่ดีมันดั๊นนนดีกว่า
ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อ ลองชั่งใจดูสักนิดว่าต้องการปกปิดแค่ไหน (ทั้งปกปิดสภาพหน้าและปกปิดสภาพบัญชี *.*)  แม้ว่าบีบีราคา 1 พันกว่าจะขั้นเทพพพ  แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราเป็นเทพได้  ดังนั้นถ้าไม่อยากใช้ของแพง แต่คุณภาพรับได้ก็ลองตัวเลือกที่ตามมาค่ะ  หรือใครมีตัวอื่นที่เจ๋งงง ก็มาแชร์กันได้เลยนะคะ อิชั้นจะตามไปลองบ้างงง  แต่ถ้าหากคุณ!! ต้องการความเจ๋งงสนิท แบบชีวิตไม่โอเคถ้าหน้าไม่ดี  ก็อดอาหารให้เต็มที่ จะได้มีดีทั้งสวยทั้งผอม เอ้าา  เฮ้!!!!!!!!

     ลองคิดดูเล่นๆกันน +++

199 บาท        ข้าว   5    มื้อ     อยู่ได้     1    วันครึ่ง
980 บาท        ข้าว   32  มื้อ      อยู่ได้    1    สัปดาห์
1600 บาท      ข้าว   53  มื้อ      อยู่ได้     ครึ่งเดือน

         เห็นภาพการอดข้าวชัดๆแล้วนะคะ  ที่นี้ก็จัดไปเลยยยย ( หรือจะไม่จัดดีน่ะ)


                                                          พบกับรีวิวครั้งหน้ากับ Lipstick ทุกเฉดสี ว๊าว ว๊าว ว้าววว

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ว่าด้วยเรื่องสิว...ครีมแต้มสิวหายชะงัด กับสบู่ทำลายล้างสิวหลัง

  สวัสดีค่าาาาาา  ห่างหายไปนาน เพราะมัวจัดการทรัพย์สินในเกมเศรษฐี คือตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะติด  แต่พอติดเท่านั้นล่ะ ติดเลยยย 55555  เนื่องด้วยช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ ร้อนๆฝนๆ ไฟก็ดับๆติดๆ  สิวเลยขึ้น( เหมือนจะไม่เกี่ยว -.-)  เราจึงมานำเสนอสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะทำได้ แต่ทำได้แล้ววว เป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดว่าจะรีวิวได้ เพราะปกติไม่ค่อยสันทัดและสัมผัสกับอะไรดีๆ ที่รักษาสิวได้โดยไม่แพ้เลยยย  แต่มันบังเอิญเจอ เป็นการทดลองที่แจ่มเจ๋งสุดๆๆๆๆๆๆ

      วันนี้จึงขอว่าด้วยเรื่องของสิวค่ะ... เราจะมารักษาสิวเฉพาะจุดบนใบหน้า และสิวที่แผ่นหลัง ให้หน้านวลเนียนเหมือนแผ่นหลังอั้ม พัชราภา และใบหนังของคุณเนียนนวล เหมือนใบหน้าโดม ปกร ลัมภ์



                                    เห็นภาพชัดพอม๊ายยยยยยยยย  !!!!!!!!



1.  Dove  beauty Bar 




  เป็นสบู่ที่ไม่ใช่สบู่ คือ ส่วนประกอบไม่ใช่สบู่ที่แท้จริง แต่อุดมไปด้วยสิ่งที่บำรุงผิวได้ ( พอดีเรียนบัญชี จีงไม่สามารถอธิบายสูตรทางเคมีได้อย่างรัญจวนใจ T^T ) แต่นั่นแหละค่ะ....

      เค้าเคลมมาว่าอ่อนโยน ทำให้ผิวขาวใสเจิดจรัส ( เจิดจรัสชั้นเติมเอง ) และที่สำคัญ ล้างหน้าได้ดีกว่าโฟมล้างหน้าบางยี่ห้อซะอีกกก  อุแม่จ้าว!!!!!  พอได้ยินดังนั้น อิชั้นก็รีบเสาะหามาใช้ สนนราคา ก้อนละ 15 -20 บาทไม่แน่ใจ    เอามาถูตัวและล้างหน้า  เรื่องล้างหน้านั้นไม่ได้รู้สึกว่าดีกว่าโฟม แต่ไม่ได้แพ้อะไรค่ะ แต่สิ่งที่เห็นชัดจริงแท้ หลังจากใช้หมดไป 1 ก้อน คือ.... สิวหลังมันหายไป และได้แผ่นหลังที่เรียบเนียนที่ใฝ่ฝันมาตลอดเกือบ 20 ปี !!!! 

      แม้จะแพงไปหน่อย แต่ซื้อมาใช้ต่อแน่นอนค่ะ  และอย่าตกใจว่าสบู่ก้อนนี้ 1 ก้อนจะใช้ได้ยาวนานตั้งแต่อนุบาลยันขึ้นประถมต้น  เพราะ 2 -3 สัปดาห์ถ้าใช้ทุกวัน มันก็ก้อนเล็กลงเท่าก้อนยางลบคุณก่อนที่มันจะหายไป ( แบบว่าซื้อยางลบมา ยังไม่ทันใช้มุมยางลบครบ 4 มุมมันก็หายและไงคะ)


      ดังนั้น สบู่ก้อนนี้ แนะนำให้นำมาถูหลังโดยไม่ต้องมีคุณจัน หลังก็สิวหายค่ะ อิอิอิ

2. Oriental Princess concealer acne 


    เป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นใครรีวิวมาใช้ดีเลยยย และให้ตายเถอะโรบิ้น ว่ากันตามจริงไม่เคยคิดว่ามันจะได้ผล เพราะมันเป็นคอนซีลเลอร์ คือส่วนมากแล้วครีมแต้มสิว จะออกแนวยารักษา ไม่ใช่เอนไปทางเมคอัพ ซึ่งมักจะก่อให้เกิดสิว แต่แม่ซื้อมาให้ ไหนๆก็ไหน สิวบุกพอดี ใช้ซักหน่อย พอแต้มสิว มันก็ให้ความรู้สึกเดียวกับคอนซีลเลอร์ค่ะ คือมันจางลง เราก็อืมม คอนซีลเลอร์ธรรมดา มันจะทำให้สิวยุบเหรอ??

     แต่มันยุบจริงค่ะ  เราไม่ได้อุปทานไปเอง เพราะเมื่อใช้ cleansing express เช็ดหน้าจนเกลี้ยง สิวที่บุกอยู่ หรือกำลังแค่จะบุก มันจะยุบลง และค่อยๆแห้งไป ใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน  ที่สำคัญคือ....ไม่ทิ้งรอยแดงค่ะ  เป็นสิ่งที่ปลื้มมากก  แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าของแต่ละคนด้วยนะคะ อีกอย่างคือ ไม่มีเฉดสีให้เลือกค่ะ แต่ก็พอจะถูไถๆให้กลืนไปกับหน้า ถ้าเอาแป้งมาทาทับไว้

          ยังไงก็ตาม ตอนนี้ตัวนี้ เลิฟมาก ตั้งแต่ใช้มาตามคำแนะนำของใครๆ ก็ไม่ได้ใจเท่าอันนี้เลย ราคาก็น่าคบหา ยิ่งเป็นสมาชิก OP โอ้วว ได้มาถูกเลยค่ะ ใครที่มีสิวขึ้นประปราย และไม่อยากชายตามองมัน ก็หามาลองได้ค่ะ





    สุดท้ายนี้ รีวิวครานี้ต้องขออภัยจริงๆค่ะ  เพราะมันเป็นการทดลองที่ไม่คาดคิดจริงๆ จึงไม่ได้ถ่ายภาพ หรือตั้งใจว่าจะเกิดผลลัพธ์น่าทึ่งสำหรับตัวเองขนาดนี้  การรีวิวคั้งนี้ จึงเกิดจากความดีใจและทึ่งหน่อยๆ ที่ทดลองของใหม่แล้วได้ผลดีเกินคาด จึงอยากจะบอกต่อให้ได้ลองกันบ้างเท่านั้นค่าาา

   ติดตามรีวิวต่อไปเร็วๆนี้ กับ BB เริ่ดๆ ใช้แล้วได้ลุคดิวอี้ ซีรีย์ฝรั่งสุดๆ lol


 Hint สภาพผิว : หน้าแห้ง มันบริเวณ T-Zone ระหว่างวันเล็กน้อย   หน้าด้าน  (ไม่ค่อยแพ้อะไรค่ะ 555) 

      

   

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

REVIEW ลิปบาล์มตัวไหน ใช้แล้วปากชมพู (เกิดแน่งานนี้!!)

   กลับมาแล้วจ้าาาาา กลับมากันเร๊ววววว  สงกรานต์ที่ผ่านมาไปเที่ยวไหนกันบ้างเอ่ยย สนุกมั้ยคะ???
ส่วนตัวอิฉันนั้นวันๆนั่งทำกับข้าว รวมญาติกันสนุกสนาน แต่ช่วยชาติประหยัดพลังงาน ด้วยการ..ไม่ไปไหนเลย T^T  แต่ไม่เป็นไรค่ะ  อยู่กับครอบครัวก็สุขในแล้วโน๊ะ โน๊ะ (เสียงแบบพี่มากกก พระโขนง)

      วันนี้ จะมานำเสนออออออ ลิปบาล์ม ที่ทำให้คุณผู้หญิงปากชมพูสุขภาพดี อิ่มอวบอย่างเป็นธรรมชาติ ( เรียกว่าวรรพคุณเหมือนด้านหลังกล่องลิปบาล์มเลยว่างั้นเลยเหอะ!)  แต่ของดีจริงๆมีน้อยค่ะ ดังนั้นนายจึงมีที่รักจริงๆแค่ 3 ยี่ห้อเท่านั้น แต่ดีจริง ดีจัง แต่ก่อนนี่ปากดำมากก ยังกะคนสูบบุหรี่ ทั้งๆที่ไม่เคยใช้ลิปสีหรืออะไรเกี่ยวกับปากเลย แต่พอได้ 3 สิ่งนี้ ก็เปลี่ยนชีวิต ชะวิ๊งงงง  ดังนั้นใครที่กำลังประสบปัญหาปากแห้ง ปากแตก  ริมฝีปากคล้ำไม่ชมพูสดใสเหมือนนางในทีวีล่ะก็...... ตามมาดูกันเล้ยยยยยย ยิปปี้

                                   


1. Carmex From US

ตัวนี้ให้ 10/10 เลยค่ะ ความชุ่มชื้นมาเต็ม ยิ่งทาก่อนนอนตื่นมาจะผลัดริมฝีปากได้ทันทีเลย
ปากจะอิ่มขึ้น แล้วเซลล์เก่าจะหลุดออกไป แทนที่ด้วยเซลล์ใหม่ที่ชมพูสดใสเลยค่ะ อันที่จริงแล้วสำหรับ carmex มีแบบแท่งด้วยนะคะ แล้วก็มีสูตรอื่นด้วย เช่น สูตรผสมเชอรรี่ เผื่อใครไม่ชอบใจกลิ่นลิปที่คล้ายๆน้ำมันจาระบีนิดๆ ซึ่งตอนแรกนายเกลียดกลิ่นนี้มากกกกกก  พอนานๆไปจมูกเริ่มมีภูมิคุ้มกัน หอม สบ๊ายยย ส่วนตัวชอบสูตรนี้มากกว่าเชอรรี่ รู้สึกให้ผลดีกว่า ไม่รู้อุปทานไปเองหรือเปล่านะคะ เหะๆ แต่คอนเฟิร์มว่าใช้จริง ดีจริง!! ที่สำคัญราคาแค่ 150 บาท ใช้ปีหนึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะหมด 0.0


2. Burt's Bee From US 


  มาด้วยแพ็คเกจสีเหลืองสดใสเหมือนกันเลยค่ะ ยี่ห้อนี้ทำจาก 100% bee wax เลยนะ ธรรมชาติสุดๆ  10/10 เหมือนกันเลยค่าาาา  ตัวนี้คุณสมบัติคล้าย carmex เลยค่ะ  เพียงแต่กลิ่นจะหอมมิ้นๆ  แล้วก็มีกลิ่นน้ำผึ้งหน่อๆด้วยค่ะ ทาแล้วจะรู้สึกเย็นๆ ตอนนี้ผลิตสูตรมีสีออกมาแล้วด้วยนะคะ แต่เราเป็นคนชอบอะไรที่ีออริจินั่ลลล 555 เลยชอบตัวนี้ที่สุดค่ะ ตัวนี้ให้ผลช้ากว่า carmex เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ได้ผลลัพธ์เหมือนกันค่ะ ราคาที่ฮ่องกง ซื้อมา 150 บาทเองงง แต่ที่ไทยไม่ทราบราคาค่ะ ในเซ็นทรัลมีขาย แต่ดูท่าน่าจะแพง ใครอยากได้ฝากเพื่อนไปต่างประเทศซื้อมาหรือพรีออเดอร์ดีกว่าค่ะ เพราะแท่งนึงใช้ได้นานเลยล่ะค่ะ


3. Maybelline baby lip colour


ตัวนี้คิดว่าใครๆคงรู้จักกันดี ส่วนตัวใช้สี berry crush หอม สีธรรมชาติแล้วก็ชุ่มชื้นที่มากกค่ะ 10/10    เป็นลิปบาล์มและลิปสีในตัว ที่สำคัญเป็นลิปที่ผสมสีเพียงตัวเดียว ที่ตั้งแต่เกิดมาใช้แล้วปากไม่คล้ำ!!!!
ปกติใช้ลิปมีสีทีไร ปากจะดำขึ้นเลย แต่ตัวนี้ไม่เป็นเลยค่ะ ถือเป็นลิปสี(นั่นเรียกมีสีแล้วเร๊อะ) ที่มีบุญคุณกับชีวิตมากกก ฮือๆๆๆ ซาบซึ้งงงงง TT^TT และเรื่องราคาเหรอ ราคาเหรอ 89 บาทเอง แม่จ้าววววว
ใครไม่มีนี่เอ้าท์นะ อิอิ

(ขอบคุณ ภาพจาก google )

        จบแล้วนะคะ สำหรับรีวิวลิปมันเปลี่ยนชีวิต  ราคาเป็นมิตรนั้นเป็นสิ่งสำคัญ และที่สำคัญพอๆกันคือคุณภาพสินค้าค่ะ  ขอลดีและถูกมีอยู่จริงนะคะ  ไม่จำเป็นต้องซื้อลิปบาล์ม 350-950 เลยก็มี
ใช้แค่นี้ รับรองว่าได้ริมฝีปากสีสวยสมใจแน่นอนค่ะ วันนี้ขอจรลีลาไปทำกับข้าวแล้วนะคะ
บ๊าย..บ่ายยยยยย


    
   

วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2556

รีวิว REVIEW Skincare ในระดับคุณภาพ และราคาที่คุณคู่ควร SK-II,Neutrogena,Hada Labo,Yves Rocher

     มาแล้วจ้าาา หอยลาย หอยแคลง หอยแมงภู่ .... เย้ยย ไม่ใช่แล้ววว   สวัสดีค่ะ :D กลับมาอีกครั้งตามสัญญา กับSkincare ดูแลผิวหน้า  ที่ทำให้หน้าใส ไร้สิวฝ้า  ใสทะลุแอพ 360 กันเลยทีเดียว  ใสจบโกโบริยังต้องเหลียวววววว
5555 งานนี้สู้ตายถวายหัว ฮึบ ฮึบ  เรามาเริ่มกันเลยดีไหม ( น้ำเสียงปลุกใจบางระจันมาก)              ปล.ไม่ได้เรียงลำดับความดีความชอบหรือมีโล่มีตราให้นะคะ

1. Neutrogena Fine Farness Serum 30 ml ขวดละ 699 บาท ใช้เช้า-ค่ำ

 30 ml ขวดนี้ ใช้ได้นานพอสมควรค่ะ แนะนำไม่ต้องกดเยอะ เพราะเนื้อครีมไม่เหนียวหนืดจ้า


คุณสมบัติที่ล่ำลือ : หน้าขาว กระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำ

คุณสมบัติที่ใช้จริง: หน้าขาวขึ้นจริงค่ะ!!!!! หือออ อย่าเพิ่งตาโตๆ มันขาวขึ้นจริง แต่ไม่ได้มากขนาดที่คุณคิด (ชั้นรู้ว่าเธอคิดว่าขาวขนาดไหน กิกิกิ) แบบนั้นต้องกินกลูต้า ฉีดยากันแล้วค่ะสาวๆ  เรื่องจุดด่างดำนั้น ลดเลือนได้ด้วยนะคะ อันนี้ปลื้มมม ลดจริงนิดนึงค่ะ ความขาวขึ้น ลดจุดด่างดำนี้  อิฉันใช้เห็นผลภายใน 7 วัน ไม่อยากจะเชื่ออออออ ราคาอันเป็นมิตร น่าคบหา คุณสมบัติล้ำเลิศนั้นมีอยู่จริงนะคะ
     ปล. สำหรับเนื้อครีม จะเป็นสีส้มอ่อนๆ ออกสีเนื้อๆ ซึมซาบเร็วดีมากค่ะ กด 2 ฟรืดด ได้ทั่วหน้าเลย


          
อันนี้คือ รูปหลังจากใช้มา 5 วันค่ะ ไม่ใช้ Apps Makeup  หรือแต่งแสงใดๆ


2.SK-II Facial Tratment Essence ที่ล่ำลือเลื่องชื่อกันทั้งพระโขนงงงงง
ราคา 75 ml 2800 บาท T^T




คุณสมบัติที่ล่ำลือ : หน้ากระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย ชะลอความแก่ กระชับผิดหน้า ผลัดเซลล์ผิว บลาๆ
                      เรียกว่าเป็นน้ำป้าเจี๊ยบอันมหัศจรรย์พอๆกับ ให้แฮรี่พอตเตอร์มาเสกหนังหน้าให้ใหม่

คุณสมบัติที่ใช้จริง :  มหัศจรรย์มากกกกกกกก  ต้องบอกก่อนว่า Pitera 90% ในน้ำป้าเจี๊ยบที่ช่วยหมักมือคนแก่หมักเหล้าของญี่ปุ่น เอามาหมักหน้าอิฉันได้อย่างยอดเยี่ยมกระเทียมเจียวดองงง

    หลังจากไปขอ Tester จาก BA เซ็นทรัล ใช้ได้ 2 วัน รูขุมขนที่เคยกว้างเหมือนอุกาบาตลงก็เล็กลง
หน้าที่นอนตี 2 ทุกวัน กลับดูใส อิ่มน้ำ อย่างกะนอนเท่าเจ้าหญิงนิทรา คุณพระ!!!! ดีจริงๆค่ะ
แต่อันนี้ไม่การันตีความปลอดภัยสำหรับทุกท่าน  เพราะเคยมีคนแพ้สิวเห่อเหมือนกัน  แต่อิชั้นกับแม่
ไม่เป็นอะไรนะคะ( เอ๊ะ..หรือหน้าเราสองแม่ลูกมัน...เอ๊ะ 555)

        สำหรับ Essence นี้ แนะนำว่าใครสนใจ ให้ไปขอเทสเตอร์มาลองก่อนค่ะ ว่าแพ้หรือไม่แพ้ ใช้ได้ผลหรือไม่ อย่า!!!!!!!! หลงเชื่อคำรีวิว ว่ามันประเสริฐเลิศล้ำ จนกว่าจะได้ลองของ  อย่า!!!!!ยอมเสียเงิน
ซื้อเทสเตอร์ 200-300 บาท ในเน็ต  เพราะเค้าแจกฟรีที่เคาท์เตอร์จ้ะแม่คุณทูนหัววววว

     สำหรับเทสเตอร์ 10 ml ที่ได้ ถามว่าใช้ได้นานแค่ไหน ก็ประมาณ 1 สัปดาห์กว่าๆค่ะ ถ้าไม่ใช้สำลี
ก็ประมาณ 2 สัปดาห์  ดังนั้น ถ้าซื้อ 75 ml มาน่าจะใช้ได้ 4 เดือนโดยประมาณ
และราคา 2800 ถ้าซื้อเคาท์เตอร์ ก็แสดงว่าคุณเสียค่าเอสเคทู เดือนละ 700 บาท!!!!! คุณพระช่วย
                                 โอมม สติจงมา สติ จงมา กิเลส ออกไป กิเลส ออกไป๊



3. Yves Rocher Elixir 7.9  ราคา 1150 บาท 30 ml



คุณสมบัติที่ล่ำลือ : ชะลอรและลดเลือนริ้วรอย และเสริมความแข็งแรงให้ผิว ให้ผิวพร้อมใช้บำรุงตัวอื่น ได้เต็มประสิทธิภาพ

คุณสมบัติที่ใช้จริง: ไม่ค่อยเห็นผลค่ะ  ไม่ใช้ก็ไม่เป็นไร แต่ใช้ก็ดีกว่า คือ เหมือนทำให้หน้าแน่นขึ้น ดูแข็งแรงขึ้น  แต่ไม่ใช้ก็ไม่เป็นอะไร เปลืองตังค์เปล่าๆ


4.Hada Labo  ขวดขาว 30 ml  109 บาท

คุณสมบัติที่ล่ำลือ : ช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ ดูกระจ่างใส

คุณสมบัติที่ใช้จริง : ส่วนมากจะบอกว่าสูตรสีน้ำเงินช่วยให้ผิวขาว  แต่เราใช้สีน้ำเงินแล้วแพ้สิวขึ้นค่ะ แต่ตัวสีขาวนี้ เลิฟมาก - มากที่สุด ขาดไม่ได้  มันให้อารมณ์ตบปุ๊บ ใสปั๊บ 2-3 หมด นี่ พอใช้แล้วรู้สึกผิวไม่แห้งเลยค่ะ สดชื่นและกระจ่างใสด้วยเป็นผลพลอยได้  เจ้าฮาดะตัวนี้ ไม่ผสมแอลกอฮอล์ค่ะ อย่างที่รู้ๆว่าบางคนแพ้แอลกอฮอล์ และยังทำให้รูขุมขนกว้างอีก ใครที่อยากเริ่มต้นใช้สกินแคร์แล้วละก็ แนะนำฮาดะ ไปตบหน้าเป็นออเดิร์ฟกันได้เลยค่ะ :D


5.Neutrogena Fine Farness Toner ขวดใส



คุณสมบัติที่ล่ำลือ :  มีสารบำรุงอยู่มาก ซึมซาบเร็ว และช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างได้ดี

คุณสมบัติที่ใช้จริง :  ปลื้มมากกกกก กลิ่นที่หอมอ่อนๆ และคุณสมบัติที่ช่วยล้างคราบสกปรกที่เรายังล้างออกไม่หมดจากโฟมล้างหน้านั้น  ดีจริง!! เพราะเวลาเช็ดแล้วยังมีสีน้ำตาลๆติดสำลีออกมาอีก เวลาเช็ดแล้วรู้สึกสดชื่นนน  เช็ดเสร็จก็รู้สึกว่าผิวดูใสๆ สดชื่น พร้อมจะรับ Essence และ Serum บำรุงตัวต่อไป

6.Cleansing Express Bifesta สีเขียว ขวดละ 370 บาท


คุณสมบัติที่ล่ำลือ : เช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางได้อย่างหมดจด

คุณสมบัติที่ใช้จริง : เช็ดเกลี้ยงดีค่ะ เกลี้ยงมากกก   แต่ต้องกดอยู่หลายฟรืดเพราะมันเป็นน้ำ ส่วนใหญ่คนจะชอบใช้สูตรเจล เพราะใช้ปริมาณน้อยกว่าก็เช็ดเกลี้ยงแล้ว  แต่นายไม่ชอบเพราะเวลาที่เช็ดใกล้ดวงตาแล้วแสบตามากกก  แสบจนต้องไปล้างน้ำออก แต่ตัวสูตรน้ำตัวนี้ ไม่แสบตาเลย เช็ดสะอาด เนี๊ยบ กริ๊บ เหมือนกันเลยค่ะ ( ส่วนตัวคิดว่าสะอาดกว่าด้วย เพราะเนื้อมันไม่เป็นซิลิกา เจลๆ)

  เรียงลำดับขั้นตอนการบำรุงผิวหน้า  ( ข้อมูลจากพี่บีเอ เคาท์เตอร์ SK-II ค่ะ )

            Toner >> Essence >> Hada Labo >> Serum >> Moisture

         เป็นยังไงกันคะ การบำรุงผิวหน้าแบบชิวๆ (เหรออ +.+)  ไม่ว่าจะชายหรือหญิง การบำรุงผิวเป็นสิ่งสำคัญค่ะ เพราะนอกจากจะช่วยให้เรารู้สึกมั่นใจในบุคลิกภาพ ยังทำให้เราไม่ต้องเสียเงินแพงๆไปเข้าคลินิก รักษาผิวด้วย  ( ส่วนตัวไม่เคยเข้าคลินิกผิวเลยย)  ดังนั้นการเสียเวลาเล็กน้อย และเสียเงินจำนวนนึง หากใช้ในปริมาณที่คุ้มค่า ก็ให้ผลลัพธ์ที่หน้าพึงพอใจทั้งใบหน้าของเรา กระเป๋าตังค์ของเรา และกระเพาะอาหารของเราด้วยค่ะ ฮี่ๆๆ

                 ภาพนี้ไม่ใช้ Apps หรือแต่งแสงค่ะ แต่ลงเบสลุงชู( http://ninenile.blogspot.com/2013/03/base-shu-uemura.html) แป้งฝุ่น และบรัชออนนิดหน่อยค่ะ  รูปนี้หลังจากใช้ SK-II มา 2 วันค่ะ

   คำนวณค่าใช้จ่ายสำหรับ Skincare

สำหรับ Serum 30 ml 699 ใช้ได้ประมาณ 2 เดือนค่ะ เช้า-เย็น
   699/2   เราเสียค่าเซรั่มความขาว  350  บาท/เดือน

สำหรับ Essence 75 ml 2800 ใช้ได้ 4 เดือน
2800/4  เราเสียค่าเอสเซ้น 700 บาท/เดือน

Hada 30 ml ใช้ได้ 1 เดือนนิดๆ 109/1.5  เราเสียค่าฮาดะ 73 บาท/เดือน

Toner 399 บาท ใช้ได้ 3 เดือน  เราเสียเงินค่าโทเนอร์ 133 บาท/เดือน

Cleansing 370 ใช้ได้ 3 เดือน  เราเสียค่า Cleansing 123 บาท/เดือน

   1 เดือนเราเสียค่าบำรุงผิวหน้า เฉพาะบำรุงที่จำเป็นจริงๆ = 1380 บาท

   สำหรับตัวเลือกข้างต้น สามารถยิดหยุ่นเปลี่ยนช้อยส์ ตัดออก แล้วแทนที่ด้วยตัวอื่นได้ค่ะ เพราะบางตัว ราคาโหดเหลือรับประทานจริงๆ  แต่เพื่อความใสทะลุเป้าหมาย และอาจทำให้เป้าหมายเป็นแบบนี้..

                               สาวๆอย่างเรา  ยอมมมมมมมมมมมมมมม!!!!!!!

       

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

BackPack To Hong Kong เที่ยวฮ่องกงเองง่ายๆ สบายกระเป๋า

    กลับเข้ามาอีกครั้ง บล็อกที่ชั้นอาศัย ปิดประตูเปิดไฟ แต่ใจไม่พักสักที :) แหะๆ สวัสดีค่าาาาาาา วันนี้ขอเปิดบล็อกด้วยเพลงพี่แสตมป์คนงาม   เนื่องจากตอนนี้ปิดเทอม ช่วงนี้เลยเห็นใครต่อใครไปเที่ยวกันเยอะแยะเลยค่ะ  แต่เราไปเที่ยวมาแล้วตั้งแต่ต้นปี ดังนั้นงบประมาณ...หมด! แต่ไม่เป็นไรค่ะ  วันนี้จะมานำเสนอการ แบ็คแพคแบบชิวๆ หลายๆคนเกิดคำถาม ไปครั้งแรกทำยังไง?? อันตราย?? ไปถึงสนามบินทำอย่างไร?? มีที่เที่ยวที่ไหนใกล้ๆบ้าง?? วันนี้จะมาเล่าให้ฟังเป็นแนวทางกันค่ะ ปะ!! ไปตะลุยฮ่องกงกัน 3 วัน 2 คืน ด้วยงบประมาณคนละ 15000 เท่านั้นกันเต๊อะ!!!!! ( แต่.....ไม่รวมค่าช้อปปิ้งนะคะ สาว  สาวววววว >.<)
                                      เอ่ออ  อย่าทำหน้ายังงี้ใส่สิคะ จุฟๆ


เก็บของพร้อมรึยัง ไปกันเล้ยยย!!!! 


    ขั้นตอนแรก  จองตั๋วเครื่องบินและที่พักค่ะ  ถ้าขาด 2 สิ่งนี้ เออะ คงไปมิได้  นายจองตั๋วเครื่องบินของสายการบินแอร์เอเชีย คนละ 9,000 บาท ไปกลับนะคะ ( จริงๆตอนนั้นสายการบินไทย มีโปรโมชั่น เหลือ 8,600 ต่างกันตั้ง 400 T^T แต่ว่าเวลาที่เครื่องแลนดิ้งเป็นตอนบ่ายค่ะ ถ้าไปช่วงเช้าจะเที่ยวได้มากกว่า เลยลงเอยที่แอร์เอเชีย)    ขอเล่ารายละเอียดการจองตั๋วเครื่องบินนิดนึงนะคะ......
 
 ตอนแรกนั้นจองผ่านเว็บไซต์ค่ะ เพราะเป็นสมาชิก แต่ไม่สามารถดำเนินการชำระผ่านบัตรเครดิตได้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน  จึงโทรไปจองและขอชำระผ่านเค้าเตอร์ เซอวิส ของ 7-11 แทน ปรากฎว่า ราคาถูกกว่าจองผ่านหน้าเว็บประมาณ 400 บาท โดยไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันค่ะ  แต่ก็เยี่ยมไปเลยยย



จากนั้น ก็จองโรงแรมผ่านทาง agoda ค่ะ โรงแรมที่ฮ่องกงแพงพอสมควรเลย ดังนั้นถ้าไปไม่มาก และสมาชิกชิวเว่ออ ก็พักแมนชั่นแบบนายได้ค่ะ  จะเลือกพักที่ Chungking หรือ Mirador Mansion ก็ไม่ต่างกันมาก  ของนายเลือก Mirador ค่ะ หาง่าย ใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน  สำหรับห้องพัก แมนชั่นนึง จะมีหลายยี่ห้อมากค่ะ หมายถึง มีหลายโรงแรมในตึกเดียว  ที่ไปพักเป็นของ USA Hotel คืนละ 1500 บาทค่ะ  ห้องจะมีหองน้ำในตัว ขนาดเล็กประมาณ หอพักในธรรมศาสตร์เวอชั่นไม่มีห้องน้ำ ... -*-


         ไม่เป็นไรค่ะ ศรีทนได้ :D จองปุ๊บ ก็จ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตค่ะ
เสร็จเรียบร้อยย  เตรียมตัวเก็บของ จดรายการของที่อยากได้ แล้วนับวันรอบินได้เลยยยย.................

  วันที่ 1    วันแรกของการเดินทาง เที่ยวบินเป็นคืนวันศุกร์ค่ะ เราแลกเงินที่สนามบิน เรียบร้อยก็จะเชคอินค่ะ ขาไปไม่มีกระเป๋าให้โหลด
เราก็เดินตัวปลิวเข้าไปตรวจพาสปอตได้เลยย   พอผ่านด่านพาสปอตและกรอกใบเข้าเมืองแล้ว ก็จะถึงด่านดิวตี้ฟรี!!!  ยังค่ะ ยังๆๆ  เราอดใจรอไว้ ไปถึงฮ่องกงค่อยช็อปป้งนะคะ  เราจึง เดินเชิดหน้าใส่ของปลอดภาษี ทั้งเครื่องสำอางค์ น้ำหอม เหล้า etc. ด้วยความภาคภูมิ
 บ้าาาาาาาา  นั่นมโนค่ะ 555  ความจริงคือคิดอย่างที่บอก แต่ร่างกายเดินไปถึง เค้าเตอร์ SK-II แล้วววว  กั่กๆๆๆ  แต่ก็ยับยั้งชั่งใจไม่ซื้อสิ่งใดติดมือค่ะ
     เสร็จแล้วก็หา Gate ที่เราจะบรอดดิ้ง เมื่อถึงเวลาก็ขึ้นเครื่องเตรียมออกบินกันได้เลยยย
เวลาผ่าน 2 ชั่วโมงนิดๆ เครื่องก็แลนดิ้งถึงฮ่องกง 7 โมงเช้าพอดี

     เราเดินตรงไปเรื่อยๆค่ะ ตามป้าย Migration มาเรื่อยๆเลย ถ้าถึงสนามบินจะมีห้องน้ำเป็นระยะๆ  เดินตรงไปเรื่อยๆค่ะ ท่านผู้ชม  จะพบทางแยก ให้แยกไปทางที่ มีเลขบนตั๋วเครื่องบิน ถูกทางแน่ค่ะ ถ้าไม่เข้าใจถามแอร์ที่เดินผ่านไปผ่านมาได้      เมื่อเดินมาเรื่อยๆ  เราจะเห็นจุดซื้อบัตร Airport Express และ Octopus Card  อิฉันกับแม่ ซื้อบัตรแอร์พอร์ต เอ็กเพรส เพื่อขึ้นรถไฟไปถึงเกาลูนเลยค่ะ  ปล. ต้องซื้อบัตร Octopus นะคะแนะนำเลย เพราะเวลาขึ้นรถไฟใต้ดินจะสะดวกมากก  เวลาเข้า 7-11 ก็ใช้บัตินี่ซื้อของได้เลยค่ะ  เวลาเงินหมดก็จะมีตู้เติมเงินตามสถานีรถไฟ เติมง่ายมากกกด้วยค่ะ  หน้าตาบัตรเป็นแบบนี้



  ซื้อเสร็จ รวมราคาบัตร Airport Express ไป-กลับ และ เงินในบัตร Octopus คนละประมาณ 1200 บาทค่ะ ใช้ได้หมด 3 วันเลยค่ะ แล้วกลับหลังหัน ไปทาง AirportExpress รอรถไฟฟ้ามา 2 นาที ขึ้นไปนั่ง เลือกที่นั่งได้เหมือนเลือกล็อตเตอรี่  ลายตาเลยค่ะ  :D

   เผลอแป๊บบเดียว ก็ถึงสถานี Kawloon  ลงมาจากสถานี ก็ขึ้น Shuttle Bus ฟรีไปลงที่ Holiday Inn Hotel  เดินขึ้นไปโผล่ตรงตึก Mirador พอดิบพอดีเลยค่ะ ( จะบอกว่าตอนนั้นไม่รู้ว่าอยู่ตึกข้างหน้า ถามคนฮ่องกงตรงนั้นเค้าขำใหญ่เลย แหะๆ)  ขึ้นไปปุ๊บ ฝากกระเป๋าชั้น 13 เชคอินกะอาหมวยปั๊บ แล้วก็ออกไปตะลุยกันจริงจังง  แต่ก่อนอื่น...หาไรกินก่อนนะ หิว ไม่ไหวละค่ะ 0.0

       ตรงข้ามตึกจะมีห้าง I Square ค่ะ ชั้น 3 จะมีร้านโจ๊กปูอร่อยๆ เป็นเหลานะคะ  เราก็รีบเดินไปกินด้วยความหิว เราจึงสั่งแบบ...ไม่ยั้ง!!! โจ๊ก บะหมี่ เกี๊ยวปู หมูแดง แต่ แต่ ไคลแม็กซ์อยู่ที่น้ำเปล่าค่ะ
เราสั่ง Mineral Water ได้โซดา ตอนนั้นก็งง ทำไมน้ำเปล่ามีแก๊ส  แม่บอก น้ำต่างประเทศ ไฮโซ
 เราก็ อ่ออ  พอดื่มไปเท่านั้นแหละ เกิดอาการอย่างเงี๊ยยยย 555

 เราจึง ดื่มน้ำชาฟรีที่แสนนนจะอร่อย (จริงๆค่ะ ) แทน  โจ๊กปูหอมๆ ก็มาเสิร์ฟพอดี อะหือออออ
ปูสดๆ ตาใสๆ นั่งนิ่งอยู่บนโจ๊ก  เราก็นึกว่าเค้าจะแคะปูผสมมาในโจ๊ก เปล๊าาาาา  เราแคะกินเองค่ะ
  ไม่เป้นไร ครั้งแรกมักจะเจ็บเสมอ 555 ( คิดไรอ่ะ อั๊ยย่ะ)   รสชาติก็อร่อยค่ะ ข้าวละเอียดมากกก
เคี่ยวมาแบบเหลาสุดๆ ปูเนื้อแน่น หวาน หอมมม  และจานเด็ดของมื้อแรกต้องนี่เลยย  หมูแดงน้ำผึ้ง!!
    หน้าตาก็ธรรมด๊าาา ธรรมดาค่ะ แต่พอเข้าปากเท่านั้นแหละ เกิดอาการ อย่างเนี๊ยยยย
 555555  มื้อนี้ แม้จะเยอะ แต่ก็หมดค่ะ  สนนราคา 4 อย่าง 800 กว่าบาท อาหารตกจานละ 120 บาทค่ะ แต่ขอบอกว่า เยอะเป็นหม้ออออออ
      เมื่อภารกิจเผด็จอาหารเสร็จแล้ว  ภารกิจต่อไปคือ ห้าง Habour City ห้างที่ทั้งยาว ใหญ่ ของเยอะไม่อั้นนนน

         วันนั้นที่ห้างมีจัดนิทรรศการช็อคโกแลตพอดีค่ะ  เลยมีพร็อพมากมายให้ถ่ายรูปกันเต็มห้างง อย่าถามว่าซื้ออะไรมั้ย เพราะซื้ออยู่แล้วววว  555


                              นิทรรศการช็อคโกแลตมีแต่ตุ๊กตาน่ารักๆเต็มไปหมดเลยย

พอเดินช็อปปิ้งจนขาห้อยแล้ว  ก็ได้เวลาไปถ่ายรูปริมอ่าววิคตอเรีย ก่อนจะไปชมแสงสีเสียงค่ะ  จะสังเกตว่ามุมเดียวกะเรื่องกี่เพ้าเลยค่ะ  พอบอกนิดนึงว่า ตอนดึกนั้นริมอ่าวหนาวมากกกกก
 ช่วงที่ไปเป็นหน้าหนาวพอดีค่ะ  เราก็ใส่ถุงมือใส่แจกเกต หลายชั้นแล้ว นึกว่าคงอยู่ได้ แต่...เปล่าเลย
มันหนาวมากกกก จริงๆ ดังนั้นใครที่ไปหน้าหนาวติดเสื้อโค้ทไปก็ดีค่ะ   เพราะเราต้องไปซื้อโค้ทมาใส่เพิ่มเลยที่เดียว

                            แสง สี เสียง มาแล้วว  แต่ละตึกจะเปิดไฟเล่นกับเสียงดนตรีค่ะ


                                 ถ่ายรูปกับบูชลี  ต้องเต๊ะท่าตามซะหน่อยยย


                                      นี่ถนน Avenue of Star ริมอ่าวลมเย็นๆเลยค่าา

 ก่อนกลับนั้นบอบอกนิดนึงว่า จะมีร้านปลาหมึกย่างริมอ่าวอร่อยมากกกก ค่ะ เป็นปราหมึกสดอบ
หอมๆ เตะจมูกจนต้องเดินไปดม แล้วควักกระเป๋าตังซื้อมากินซะเลยยย   ขากลับก็เดินเลาะห้างกลับเหมือนเดิมค่ะ ผ่านร้านแบรนด์เนมหรูเริ่ดมากมาย  เลยขอถ่ายรูปคู่สักหน่อย อิอิ

     และแล้วก็กลับเข้าที่พัก ด้วยอาการ เหนื่อย เมื่อย หนาว แต่สนุกสุดฟินนน

จบวันแรกไปแล้ว  เดี๋ยวกลับมาต่อวันที่ 2 พรุ่งนี้นะคะ ฮูเร่ หึหึ +.+


มาต่อกันที่  วันที่ 2  ค่ะ  จริงๆวันนี้เราวางแผนจะไปไหว้พระใหญ่ นั่งกระเช้า ไปวัดหวังต้าเซียนและวัดนางชีค่ะ  แต่เนื่องจากตื่นสายมากกกก  เลยอดไปนั่งกระเช้าไหว้พระใหญ่เลย T^T
แต่ไม่เป็นไรนะคะ  เราได้ไปไหว้พระที่วัดหวังต้าเซียน และวัดนางชี  เริ่มต้นวันที่สองด้วย Macua Restuarant เป็นร้านอาหารจีนที่อร่อยมากกกก ( แต่อย่าสั่งเครื่องดื่มนะคะ  ขมมากถึงมากที่สุด)  เกี๊ยวปู หมูแดง เป็ดย่างน้ำผึ้ง  ฟินที่สุดในสามโลกกกกกกกกกกกก   ตั้งใจว่ากลับมาจะไปร้านนี้อีกอย่างแน่นอน  แต่บอกก่อนว่าร้านนี้คนแน่นตลอดเลยค่ะ  ต้องอาศัยดวงกันจริงๆ  จากนั้น นั่งรถไฟใต้ดินไปถึงปุ๊บ  เดินดูตามป้ายก็ไปโผล่ที่หน้าวัดได้ทันทีเลยค่าาาา



      เมื่อเข้าไปถึง จะมีลูกศรชี้ๆ  ก็ไปไหว้ตามธรรมเนียมได้เลยค่ะ  มีเสี่ยงเซียมซีด้วยค่ะ  แต่จะต้องมีของไปสักการะด้วย จะมีที่นั่งเป็นแท่นๆให้นั่งนะคะ

     ต่อจากนั้น จะมีรูปปั้น 12 นักษัตรค่ะ ซึ่งเทพเจ้าแต่ละองค์จะศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องต่างๆกัน  ซึ่งเราจะต้องลูบที่รูปปั้นค่ะ  เช่นองค์ในรูปเป็นเทพเจ้าปัญญา ก็ลูบๆ คลำๆ จับๆที่หนังสือนะคะ  เชื่อว่าจะได้มีปัญญาดี

  พอไหว้พระเสร็จแล้ว   ทางออกก็จะมีรูปปั้นมังกร ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ร่ำรวยมั่งคั่งค่ะ  เราจะลูบๆแล้วใส่
ในกระเป๋า  เชื่อว่าเงินจะไม่ไหลออกเลยค่ะ :D

    ต่อจากนั้นนั่งรถไฟขึ้นไปที่วัดนางชี  ซึ่งจะมีสวยหนานเหลียนให้เดินก่อนถึง  สวนสวยและเงียบสงบมากกกกค่ะ  ส่วนตัวกับคุณแม่ชอบวัดนางชีมากกว่าเพราะเงียบสงบ  รู้สึกเย็นสบายใจมากจริงๆค่ะ

                                    ในวัดจะมีพระให้ไหว้เป็นจุดๆ ไหว้วนไปได้เลยค่ะ

      พอกลับจากวัด ก็บึ่งไปที่ City Gate ค่ะ  เวลาเหลืออ อิอิ  ไปไม่ยากเลยค่ะ นั่งรถไฟใต้ดินไปลง
TUng Chung ขึ้นมาก็เห็นซิตี้เกทเลยค่ะ   ไปชอป Coach Furla etc. มีให้เลือกเยอะมากกกค่ะ
ละลายทรัพย์ไปตามๆกันเลยทีเดียว แต่ไม่เป็นไรค่ะ นานๆทีจะสนองกิเลส  ปิ๊งๆ  แต่พอได้ของที่ต้องการครบแล้ว  ดูเงินในกระเป๋าแล้วก็เกิดอาการรรรร...........................ถังเกือบแตกกกก

      พอชอปปิ้งเดินจนขาลากแล้ว  เราก็แวะไปดูเครื่องสำอางค์ต่อกันที่ร้าน SASA  Boujour กันจนจุใจ  เสียดายที่ SK II หมด ขาดสต็อก และมีหลายอย่างที่โด่งดังในเมืองไทยหมดสต็อกค่ะ  พอได้เครื่องสำอางค์พอกล้อมแกล้ม  ก็ไปแวะซื้อมะม่วงปั่นที่ล่ำลือก่อนนอน  อยากบอกว่าแพงและไม่อร่อยเลยย  ก็เหมือนมะม่วงสุกบ้านเรา ผสมวุ้นเจลาติน แก้วละตั้ง 200 กว่านะรู้สึก ผิดหวังค่ะ แต่หมดแรงเกินกว่าจะบ่น  รีบๆดูดๆ หมดๆก็กลับถึงห้องพัก จรลีไปนอนทันทีค่ะ สลบบบบบ

วันที่ 3   ตื่นเช้ามาพร้อมกับความสดชื่นนนน   เราก็แพ็คกระเป๋าแล้วก็ขึ้นรถไฟใต้ดินไป Sunny Bay เพื่อต่อไปยัง Hongkong Disneyland WoooHoooooo

     เมื่อเดินทางไปถึง ก็ถึงกับช็อคคค

คนเยอะมากๆๆๆๆ  ต่อคิวซื้อบัตร ค่าเข้าคนละพันกว่าบาทค่ะ เข้าไปก็ช็อคหนัก เพราะเครื่องเล่นแต่ละชิ้นนั้น   ต่อแถวเหมือนได้ข้าวฟรีกันเลยทีเดียว  เลยไปชมการแสดง 4 มิติที่น่ารักสุดๆๆ
การแสดงไลออนคิงส์ ที่อลังการร้องสด และตื่นตาตื่นใจ wow wow wow มาก และการแสดงอื่นๆ 
ไม่ได้ขึ้นไปเหยียบเครื่องเล่นสักกะตี๊ดดดด
เพราะว่าน้องเล็กเด็กแดงเจี๊ยวจ๊าวกันไปหมดเลยค่ะ

นี่เป็นภาพของดุริยางค์พาเลตค่ะ


ในดิสนีแลนด์ก็เป็นดินแดนเป็นโซนๆค่ะ  อันนี้เป็นโซนของทอย สตอรี่


พอตกเย็นก็จะมีขบวนพาเลชของการ์ตูนเรื่องต่างๆมาแสดง  อลังการงานน่ารักมากทีเดียวว


แต่เราก็ไม่ได้อยู่ดูพลุตอนค่ำค่ะ  เพราะต้องนั่งเครื่องกลับไทยซะแล้ว

บ๊าย บายยยย  ดิสนีแลนด์  

ขากลับเราก็หิ้วกระเป๋าเดินทางนั่ง Airport Express ไปถึงสนามบินค่ะ
ที่เชคอินกับ Gate อยู่คนละฝั่งกัน ไกลเหมือนกันนะ ฮึ่ยยย

 
 บ๊ายบาย ฮ่องกงงงงง

และเมื่อถึงเวลา Boarding ก็ขึ้นเครื่องไปค่ะ  กระเป๋านั้นเราโหลดใต้เครื่องเรียบร้อยแล้ว
นั่งๆนอนๆ ปวดๆหู สองชั่วโมงก็ถึงสนามบิน  กลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนอย่างสวัสดิภาพ


การเดินทางค่าใช้จ่ายค่าตั๋วไปกลับ ค่ากิน ค่าที่พักและค่าเดินทางระหว่างการท่องเที่ยว
งบคนละประมาณ 15,000 - 20,000 บาทค่ะ  แต่เนื่องจากมันอดไม่ได้เลย
ที่จะชอปปิ้งทำให้งบประมาณที่ตั้งไว้เกิดการ บานปลายยยยยยยย
แต่ แต่ แต่  เราต้องครองสติไว้ให้มั่น  คิดจะเที่ยว ต้องเหลียวกลับ 5555
คือถ้าไปเที่ยวแล้วอยากได้อะไร   ให้เหลียวหลังใส่มันก่อน  คิดดูก่อนว่าใช้มั้ย  ถ้าไม่ซื้อ
จะเสียใจป่าวว  ถ้าคิดสาระตะกับตัวเองแล้วไม่ไหววว  ไม่ไหวเลยยย
ก็ควักเงินแล้วจ่ายซะ  นานๆทีจะได้ไปค่ะ  แหมม  เราไม่ได้บินไปกินเป็ดย่างที่ฮ่องกงทุกวันซะหน่อย
จริงมั้ยคะ :D