บทความแนะนำอ่าน:D

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

BackPack To Hong Kong เที่ยวฮ่องกงเองง่ายๆ สบายกระเป๋า

    กลับเข้ามาอีกครั้ง บล็อกที่ชั้นอาศัย ปิดประตูเปิดไฟ แต่ใจไม่พักสักที :) แหะๆ สวัสดีค่าาาาาาา วันนี้ขอเปิดบล็อกด้วยเพลงพี่แสตมป์คนงาม   เนื่องจากตอนนี้ปิดเทอม ช่วงนี้เลยเห็นใครต่อใครไปเที่ยวกันเยอะแยะเลยค่ะ  แต่เราไปเที่ยวมาแล้วตั้งแต่ต้นปี ดังนั้นงบประมาณ...หมด! แต่ไม่เป็นไรค่ะ  วันนี้จะมานำเสนอการ แบ็คแพคแบบชิวๆ หลายๆคนเกิดคำถาม ไปครั้งแรกทำยังไง?? อันตราย?? ไปถึงสนามบินทำอย่างไร?? มีที่เที่ยวที่ไหนใกล้ๆบ้าง?? วันนี้จะมาเล่าให้ฟังเป็นแนวทางกันค่ะ ปะ!! ไปตะลุยฮ่องกงกัน 3 วัน 2 คืน ด้วยงบประมาณคนละ 15000 เท่านั้นกันเต๊อะ!!!!! ( แต่.....ไม่รวมค่าช้อปปิ้งนะคะ สาว  สาวววววว >.<)
                                      เอ่ออ  อย่าทำหน้ายังงี้ใส่สิคะ จุฟๆ


เก็บของพร้อมรึยัง ไปกันเล้ยยย!!!! 


    ขั้นตอนแรก  จองตั๋วเครื่องบินและที่พักค่ะ  ถ้าขาด 2 สิ่งนี้ เออะ คงไปมิได้  นายจองตั๋วเครื่องบินของสายการบินแอร์เอเชีย คนละ 9,000 บาท ไปกลับนะคะ ( จริงๆตอนนั้นสายการบินไทย มีโปรโมชั่น เหลือ 8,600 ต่างกันตั้ง 400 T^T แต่ว่าเวลาที่เครื่องแลนดิ้งเป็นตอนบ่ายค่ะ ถ้าไปช่วงเช้าจะเที่ยวได้มากกว่า เลยลงเอยที่แอร์เอเชีย)    ขอเล่ารายละเอียดการจองตั๋วเครื่องบินนิดนึงนะคะ......
 
 ตอนแรกนั้นจองผ่านเว็บไซต์ค่ะ เพราะเป็นสมาชิก แต่ไม่สามารถดำเนินการชำระผ่านบัตรเครดิตได้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน  จึงโทรไปจองและขอชำระผ่านเค้าเตอร์ เซอวิส ของ 7-11 แทน ปรากฎว่า ราคาถูกกว่าจองผ่านหน้าเว็บประมาณ 400 บาท โดยไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันค่ะ  แต่ก็เยี่ยมไปเลยยย



จากนั้น ก็จองโรงแรมผ่านทาง agoda ค่ะ โรงแรมที่ฮ่องกงแพงพอสมควรเลย ดังนั้นถ้าไปไม่มาก และสมาชิกชิวเว่ออ ก็พักแมนชั่นแบบนายได้ค่ะ  จะเลือกพักที่ Chungking หรือ Mirador Mansion ก็ไม่ต่างกันมาก  ของนายเลือก Mirador ค่ะ หาง่าย ใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน  สำหรับห้องพัก แมนชั่นนึง จะมีหลายยี่ห้อมากค่ะ หมายถึง มีหลายโรงแรมในตึกเดียว  ที่ไปพักเป็นของ USA Hotel คืนละ 1500 บาทค่ะ  ห้องจะมีหองน้ำในตัว ขนาดเล็กประมาณ หอพักในธรรมศาสตร์เวอชั่นไม่มีห้องน้ำ ... -*-


         ไม่เป็นไรค่ะ ศรีทนได้ :D จองปุ๊บ ก็จ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตค่ะ
เสร็จเรียบร้อยย  เตรียมตัวเก็บของ จดรายการของที่อยากได้ แล้วนับวันรอบินได้เลยยยย.................

  วันที่ 1    วันแรกของการเดินทาง เที่ยวบินเป็นคืนวันศุกร์ค่ะ เราแลกเงินที่สนามบิน เรียบร้อยก็จะเชคอินค่ะ ขาไปไม่มีกระเป๋าให้โหลด
เราก็เดินตัวปลิวเข้าไปตรวจพาสปอตได้เลยย   พอผ่านด่านพาสปอตและกรอกใบเข้าเมืองแล้ว ก็จะถึงด่านดิวตี้ฟรี!!!  ยังค่ะ ยังๆๆ  เราอดใจรอไว้ ไปถึงฮ่องกงค่อยช็อปป้งนะคะ  เราจึง เดินเชิดหน้าใส่ของปลอดภาษี ทั้งเครื่องสำอางค์ น้ำหอม เหล้า etc. ด้วยความภาคภูมิ
 บ้าาาาาาาา  นั่นมโนค่ะ 555  ความจริงคือคิดอย่างที่บอก แต่ร่างกายเดินไปถึง เค้าเตอร์ SK-II แล้วววว  กั่กๆๆๆ  แต่ก็ยับยั้งชั่งใจไม่ซื้อสิ่งใดติดมือค่ะ
     เสร็จแล้วก็หา Gate ที่เราจะบรอดดิ้ง เมื่อถึงเวลาก็ขึ้นเครื่องเตรียมออกบินกันได้เลยยย
เวลาผ่าน 2 ชั่วโมงนิดๆ เครื่องก็แลนดิ้งถึงฮ่องกง 7 โมงเช้าพอดี

     เราเดินตรงไปเรื่อยๆค่ะ ตามป้าย Migration มาเรื่อยๆเลย ถ้าถึงสนามบินจะมีห้องน้ำเป็นระยะๆ  เดินตรงไปเรื่อยๆค่ะ ท่านผู้ชม  จะพบทางแยก ให้แยกไปทางที่ มีเลขบนตั๋วเครื่องบิน ถูกทางแน่ค่ะ ถ้าไม่เข้าใจถามแอร์ที่เดินผ่านไปผ่านมาได้      เมื่อเดินมาเรื่อยๆ  เราจะเห็นจุดซื้อบัตร Airport Express และ Octopus Card  อิฉันกับแม่ ซื้อบัตรแอร์พอร์ต เอ็กเพรส เพื่อขึ้นรถไฟไปถึงเกาลูนเลยค่ะ  ปล. ต้องซื้อบัตร Octopus นะคะแนะนำเลย เพราะเวลาขึ้นรถไฟใต้ดินจะสะดวกมากก  เวลาเข้า 7-11 ก็ใช้บัตินี่ซื้อของได้เลยค่ะ  เวลาเงินหมดก็จะมีตู้เติมเงินตามสถานีรถไฟ เติมง่ายมากกกด้วยค่ะ  หน้าตาบัตรเป็นแบบนี้



  ซื้อเสร็จ รวมราคาบัตร Airport Express ไป-กลับ และ เงินในบัตร Octopus คนละประมาณ 1200 บาทค่ะ ใช้ได้หมด 3 วันเลยค่ะ แล้วกลับหลังหัน ไปทาง AirportExpress รอรถไฟฟ้ามา 2 นาที ขึ้นไปนั่ง เลือกที่นั่งได้เหมือนเลือกล็อตเตอรี่  ลายตาเลยค่ะ  :D

   เผลอแป๊บบเดียว ก็ถึงสถานี Kawloon  ลงมาจากสถานี ก็ขึ้น Shuttle Bus ฟรีไปลงที่ Holiday Inn Hotel  เดินขึ้นไปโผล่ตรงตึก Mirador พอดิบพอดีเลยค่ะ ( จะบอกว่าตอนนั้นไม่รู้ว่าอยู่ตึกข้างหน้า ถามคนฮ่องกงตรงนั้นเค้าขำใหญ่เลย แหะๆ)  ขึ้นไปปุ๊บ ฝากกระเป๋าชั้น 13 เชคอินกะอาหมวยปั๊บ แล้วก็ออกไปตะลุยกันจริงจังง  แต่ก่อนอื่น...หาไรกินก่อนนะ หิว ไม่ไหวละค่ะ 0.0

       ตรงข้ามตึกจะมีห้าง I Square ค่ะ ชั้น 3 จะมีร้านโจ๊กปูอร่อยๆ เป็นเหลานะคะ  เราก็รีบเดินไปกินด้วยความหิว เราจึงสั่งแบบ...ไม่ยั้ง!!! โจ๊ก บะหมี่ เกี๊ยวปู หมูแดง แต่ แต่ ไคลแม็กซ์อยู่ที่น้ำเปล่าค่ะ
เราสั่ง Mineral Water ได้โซดา ตอนนั้นก็งง ทำไมน้ำเปล่ามีแก๊ส  แม่บอก น้ำต่างประเทศ ไฮโซ
 เราก็ อ่ออ  พอดื่มไปเท่านั้นแหละ เกิดอาการอย่างเงี๊ยยยย 555

 เราจึง ดื่มน้ำชาฟรีที่แสนนนจะอร่อย (จริงๆค่ะ ) แทน  โจ๊กปูหอมๆ ก็มาเสิร์ฟพอดี อะหือออออ
ปูสดๆ ตาใสๆ นั่งนิ่งอยู่บนโจ๊ก  เราก็นึกว่าเค้าจะแคะปูผสมมาในโจ๊ก เปล๊าาาาา  เราแคะกินเองค่ะ
  ไม่เป้นไร ครั้งแรกมักจะเจ็บเสมอ 555 ( คิดไรอ่ะ อั๊ยย่ะ)   รสชาติก็อร่อยค่ะ ข้าวละเอียดมากกก
เคี่ยวมาแบบเหลาสุดๆ ปูเนื้อแน่น หวาน หอมมม  และจานเด็ดของมื้อแรกต้องนี่เลยย  หมูแดงน้ำผึ้ง!!
    หน้าตาก็ธรรมด๊าาา ธรรมดาค่ะ แต่พอเข้าปากเท่านั้นแหละ เกิดอาการ อย่างเนี๊ยยยย
 555555  มื้อนี้ แม้จะเยอะ แต่ก็หมดค่ะ  สนนราคา 4 อย่าง 800 กว่าบาท อาหารตกจานละ 120 บาทค่ะ แต่ขอบอกว่า เยอะเป็นหม้ออออออ
      เมื่อภารกิจเผด็จอาหารเสร็จแล้ว  ภารกิจต่อไปคือ ห้าง Habour City ห้างที่ทั้งยาว ใหญ่ ของเยอะไม่อั้นนนน

         วันนั้นที่ห้างมีจัดนิทรรศการช็อคโกแลตพอดีค่ะ  เลยมีพร็อพมากมายให้ถ่ายรูปกันเต็มห้างง อย่าถามว่าซื้ออะไรมั้ย เพราะซื้ออยู่แล้วววว  555


                              นิทรรศการช็อคโกแลตมีแต่ตุ๊กตาน่ารักๆเต็มไปหมดเลยย

พอเดินช็อปปิ้งจนขาห้อยแล้ว  ก็ได้เวลาไปถ่ายรูปริมอ่าววิคตอเรีย ก่อนจะไปชมแสงสีเสียงค่ะ  จะสังเกตว่ามุมเดียวกะเรื่องกี่เพ้าเลยค่ะ  พอบอกนิดนึงว่า ตอนดึกนั้นริมอ่าวหนาวมากกกกก
 ช่วงที่ไปเป็นหน้าหนาวพอดีค่ะ  เราก็ใส่ถุงมือใส่แจกเกต หลายชั้นแล้ว นึกว่าคงอยู่ได้ แต่...เปล่าเลย
มันหนาวมากกกก จริงๆ ดังนั้นใครที่ไปหน้าหนาวติดเสื้อโค้ทไปก็ดีค่ะ   เพราะเราต้องไปซื้อโค้ทมาใส่เพิ่มเลยที่เดียว

                            แสง สี เสียง มาแล้วว  แต่ละตึกจะเปิดไฟเล่นกับเสียงดนตรีค่ะ


                                 ถ่ายรูปกับบูชลี  ต้องเต๊ะท่าตามซะหน่อยยย


                                      นี่ถนน Avenue of Star ริมอ่าวลมเย็นๆเลยค่าา

 ก่อนกลับนั้นบอบอกนิดนึงว่า จะมีร้านปลาหมึกย่างริมอ่าวอร่อยมากกกก ค่ะ เป็นปราหมึกสดอบ
หอมๆ เตะจมูกจนต้องเดินไปดม แล้วควักกระเป๋าตังซื้อมากินซะเลยยย   ขากลับก็เดินเลาะห้างกลับเหมือนเดิมค่ะ ผ่านร้านแบรนด์เนมหรูเริ่ดมากมาย  เลยขอถ่ายรูปคู่สักหน่อย อิอิ

     และแล้วก็กลับเข้าที่พัก ด้วยอาการ เหนื่อย เมื่อย หนาว แต่สนุกสุดฟินนน

จบวันแรกไปแล้ว  เดี๋ยวกลับมาต่อวันที่ 2 พรุ่งนี้นะคะ ฮูเร่ หึหึ +.+


มาต่อกันที่  วันที่ 2  ค่ะ  จริงๆวันนี้เราวางแผนจะไปไหว้พระใหญ่ นั่งกระเช้า ไปวัดหวังต้าเซียนและวัดนางชีค่ะ  แต่เนื่องจากตื่นสายมากกกก  เลยอดไปนั่งกระเช้าไหว้พระใหญ่เลย T^T
แต่ไม่เป็นไรนะคะ  เราได้ไปไหว้พระที่วัดหวังต้าเซียน และวัดนางชี  เริ่มต้นวันที่สองด้วย Macua Restuarant เป็นร้านอาหารจีนที่อร่อยมากกกก ( แต่อย่าสั่งเครื่องดื่มนะคะ  ขมมากถึงมากที่สุด)  เกี๊ยวปู หมูแดง เป็ดย่างน้ำผึ้ง  ฟินที่สุดในสามโลกกกกกกกกกกกก   ตั้งใจว่ากลับมาจะไปร้านนี้อีกอย่างแน่นอน  แต่บอกก่อนว่าร้านนี้คนแน่นตลอดเลยค่ะ  ต้องอาศัยดวงกันจริงๆ  จากนั้น นั่งรถไฟใต้ดินไปถึงปุ๊บ  เดินดูตามป้ายก็ไปโผล่ที่หน้าวัดได้ทันทีเลยค่าาาา



      เมื่อเข้าไปถึง จะมีลูกศรชี้ๆ  ก็ไปไหว้ตามธรรมเนียมได้เลยค่ะ  มีเสี่ยงเซียมซีด้วยค่ะ  แต่จะต้องมีของไปสักการะด้วย จะมีที่นั่งเป็นแท่นๆให้นั่งนะคะ

     ต่อจากนั้น จะมีรูปปั้น 12 นักษัตรค่ะ ซึ่งเทพเจ้าแต่ละองค์จะศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องต่างๆกัน  ซึ่งเราจะต้องลูบที่รูปปั้นค่ะ  เช่นองค์ในรูปเป็นเทพเจ้าปัญญา ก็ลูบๆ คลำๆ จับๆที่หนังสือนะคะ  เชื่อว่าจะได้มีปัญญาดี

  พอไหว้พระเสร็จแล้ว   ทางออกก็จะมีรูปปั้นมังกร ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ร่ำรวยมั่งคั่งค่ะ  เราจะลูบๆแล้วใส่
ในกระเป๋า  เชื่อว่าเงินจะไม่ไหลออกเลยค่ะ :D

    ต่อจากนั้นนั่งรถไฟขึ้นไปที่วัดนางชี  ซึ่งจะมีสวยหนานเหลียนให้เดินก่อนถึง  สวนสวยและเงียบสงบมากกกกค่ะ  ส่วนตัวกับคุณแม่ชอบวัดนางชีมากกว่าเพราะเงียบสงบ  รู้สึกเย็นสบายใจมากจริงๆค่ะ

                                    ในวัดจะมีพระให้ไหว้เป็นจุดๆ ไหว้วนไปได้เลยค่ะ

      พอกลับจากวัด ก็บึ่งไปที่ City Gate ค่ะ  เวลาเหลืออ อิอิ  ไปไม่ยากเลยค่ะ นั่งรถไฟใต้ดินไปลง
TUng Chung ขึ้นมาก็เห็นซิตี้เกทเลยค่ะ   ไปชอป Coach Furla etc. มีให้เลือกเยอะมากกกค่ะ
ละลายทรัพย์ไปตามๆกันเลยทีเดียว แต่ไม่เป็นไรค่ะ นานๆทีจะสนองกิเลส  ปิ๊งๆ  แต่พอได้ของที่ต้องการครบแล้ว  ดูเงินในกระเป๋าแล้วก็เกิดอาการรรรร...........................ถังเกือบแตกกกก

      พอชอปปิ้งเดินจนขาลากแล้ว  เราก็แวะไปดูเครื่องสำอางค์ต่อกันที่ร้าน SASA  Boujour กันจนจุใจ  เสียดายที่ SK II หมด ขาดสต็อก และมีหลายอย่างที่โด่งดังในเมืองไทยหมดสต็อกค่ะ  พอได้เครื่องสำอางค์พอกล้อมแกล้ม  ก็ไปแวะซื้อมะม่วงปั่นที่ล่ำลือก่อนนอน  อยากบอกว่าแพงและไม่อร่อยเลยย  ก็เหมือนมะม่วงสุกบ้านเรา ผสมวุ้นเจลาติน แก้วละตั้ง 200 กว่านะรู้สึก ผิดหวังค่ะ แต่หมดแรงเกินกว่าจะบ่น  รีบๆดูดๆ หมดๆก็กลับถึงห้องพัก จรลีไปนอนทันทีค่ะ สลบบบบบ

วันที่ 3   ตื่นเช้ามาพร้อมกับความสดชื่นนนน   เราก็แพ็คกระเป๋าแล้วก็ขึ้นรถไฟใต้ดินไป Sunny Bay เพื่อต่อไปยัง Hongkong Disneyland WoooHoooooo

     เมื่อเดินทางไปถึง ก็ถึงกับช็อคคค

คนเยอะมากๆๆๆๆ  ต่อคิวซื้อบัตร ค่าเข้าคนละพันกว่าบาทค่ะ เข้าไปก็ช็อคหนัก เพราะเครื่องเล่นแต่ละชิ้นนั้น   ต่อแถวเหมือนได้ข้าวฟรีกันเลยทีเดียว  เลยไปชมการแสดง 4 มิติที่น่ารักสุดๆๆ
การแสดงไลออนคิงส์ ที่อลังการร้องสด และตื่นตาตื่นใจ wow wow wow มาก และการแสดงอื่นๆ 
ไม่ได้ขึ้นไปเหยียบเครื่องเล่นสักกะตี๊ดดดด
เพราะว่าน้องเล็กเด็กแดงเจี๊ยวจ๊าวกันไปหมดเลยค่ะ

นี่เป็นภาพของดุริยางค์พาเลตค่ะ


ในดิสนีแลนด์ก็เป็นดินแดนเป็นโซนๆค่ะ  อันนี้เป็นโซนของทอย สตอรี่


พอตกเย็นก็จะมีขบวนพาเลชของการ์ตูนเรื่องต่างๆมาแสดง  อลังการงานน่ารักมากทีเดียวว


แต่เราก็ไม่ได้อยู่ดูพลุตอนค่ำค่ะ  เพราะต้องนั่งเครื่องกลับไทยซะแล้ว

บ๊าย บายยยย  ดิสนีแลนด์  

ขากลับเราก็หิ้วกระเป๋าเดินทางนั่ง Airport Express ไปถึงสนามบินค่ะ
ที่เชคอินกับ Gate อยู่คนละฝั่งกัน ไกลเหมือนกันนะ ฮึ่ยยย

 
 บ๊ายบาย ฮ่องกงงงงง

และเมื่อถึงเวลา Boarding ก็ขึ้นเครื่องไปค่ะ  กระเป๋านั้นเราโหลดใต้เครื่องเรียบร้อยแล้ว
นั่งๆนอนๆ ปวดๆหู สองชั่วโมงก็ถึงสนามบิน  กลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนอย่างสวัสดิภาพ


การเดินทางค่าใช้จ่ายค่าตั๋วไปกลับ ค่ากิน ค่าที่พักและค่าเดินทางระหว่างการท่องเที่ยว
งบคนละประมาณ 15,000 - 20,000 บาทค่ะ  แต่เนื่องจากมันอดไม่ได้เลย
ที่จะชอปปิ้งทำให้งบประมาณที่ตั้งไว้เกิดการ บานปลายยยยยยยย
แต่ แต่ แต่  เราต้องครองสติไว้ให้มั่น  คิดจะเที่ยว ต้องเหลียวกลับ 5555
คือถ้าไปเที่ยวแล้วอยากได้อะไร   ให้เหลียวหลังใส่มันก่อน  คิดดูก่อนว่าใช้มั้ย  ถ้าไม่ซื้อ
จะเสียใจป่าวว  ถ้าคิดสาระตะกับตัวเองแล้วไม่ไหววว  ไม่ไหวเลยยย
ก็ควักเงินแล้วจ่ายซะ  นานๆทีจะได้ไปค่ะ  แหมม  เราไม่ได้บินไปกินเป็ดย่างที่ฮ่องกงทุกวันซะหน่อย
จริงมั้ยคะ :D

วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556

รีวิว Eyeshadow Sleek Oh So Special แบรนด์เมืองผู้ดีอังกฤษ คุณภาพขั้นเทพ ในราคานักศึกษา

     สวัสดีอีกครั้งนะคะ  ห่างหายไปนานเพราะมัวแต่สะสมแต้มม ฮ่าๆๆๆ   เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาอันมีค่า(ฟังดูเป๋นทางการอลังการงานสร้างไปนิด -*- แป่ววว)  วันนี้เราจะมาแนะนำ Make up ที่อยู่ในคลังกระจิ๊บกระจ่อยร่อย......  ขอเริ่มที่ละอย่างเลยนะค้าาาาา :D

                               นี่ Inventory ใน Stock ค่ะ  กำลังจะ Debit เข้ามาอีกสักพักนึง

สำหรับวันนี้  สิ่งที่จะมานำเสนอคือ....... แต่นแต๊นนนน

Eye Shadow Palette Sleek รุ่น I-divine Oh So Special แบรนด์ผู้ดีอังกฤษ

การสั่งซื้อ :  ไม่แน่ใจว่ามีขายหรือยังที่ไทยค่ะ  ซื้อได้ที่ Drug Storeและเว็บไซต์ค่ะ
ราคา       :  499 บาทเท่านั้น!!!!!  แต่เว็บส่วนใหญ่ราคา 500-600 ค่ะ  เว็บไซต์ที่นายซื้อมาราคาถูก
น่าเชื่อถือ และก็บริการดี ที่สำคัญดังพอสมควร   อยากทราบถามหลังไมค์ได้นะคะ


           
                      กล่องของอายแชโดว์นะคะ กระดาษแข็งมันๆเงาๆ สวยๆแบบนี้เลยค่ะ :D




    แกะกล่องออกมาจะเจอตลับขนาดพอดีๆ สีดำ สลัก Sleek ไว้ค่ะ  วัสดุเป็นพลาสติก
 ห่อหุ้มแน่นหนาดีค่ะ   พอเปิดฝาออกมา จะมีพลาสติกบางใส แปะกันอายแชว์โดว์ทั้ง 12 สีไว้
โดยบนแผ่นพลาสติกจะมีชื่อเรียกอายแชโดว์สีต่างๆอยู่นะคะ


       นี่เป็นภาพของสีทั้ง 12 ค่ะ ภาพนี่จะไม่ได้โฟกัสที่รูปนะคะ   จะเห็นว่าเม็ดสีสวย
       เป็นสีใช้ง่ายๆในชีวิตประจำวันเลยค่ะ  แต่งอ่อนๆไปเรียนได้ชิวๆ :)  สำหรับสีจะเรียง
      ตามเฉดกับในตลับเลยค่ะ

ภาพนี้โฟกัสภาพค่ะ จะเห็นชัดขึ้นนิดนึง  สี 8 สีจะแมตนะคะ  มี 4 สีที่จะเป็นประกายชิมเมอร์
มีทั้งสีนู้ดและเอิธโทนเลยค่ะ  เลือกใช้กันตามใจชอบบบ

เทียบกับ Naked และ The Balm NUDE กันค่ะ

                                      อันนี้เป็นสีของ The Balm NUDE ค่ะ

                    อันนี้เป็นสีของ NAKED 2 อันเลื่องลือ ทั้งด้านคุณภพและราคาาาาา

ภาพจาก : Google และ brushupandmakeup.blogspot.com

  จะเห็นว่าสีใกล้เคียงกันในระดับนึงค่ะ  แต่ Naked จะติดทนนานกว่า ( แน่นอนราคาแพงกว่า 4 เท่า)
สำหรับคนที่ใช้ Primer หรือคนที่ต้องการการติดทนนาน 5-6 ชั่วโมงก็พอใจแล้ว  แนะนำ Sleek เลยค่ะ
เม็ดสีติดแน่น สีสวย และราคาน่าคบหาจนแต่งงานมีลูกมีเต้ากันได้ *-*

สำหรับคะแนนความติดทนให้ Sleek : 8/10
คุณภาพของสี                             : 8/10
ราคา                                        : 10/10 ไปเลยค่ะ  

          สุดท้ายนี้ สำหรับผู้ที่ราหูกิเลส Naked ครอบง( ดังที่อิชั้นเคยเป็น) ต้องรู้ว่าเราเป็นคนขี้เบื่อไหม
ถ้าขี้เบื่อ เปลี่ยนบ่อย แนะนำให้ซื้ออันที่ราคาถูกกว่านะคะ เพราะ เงิน 2200-500 = 1700
    เงินจำนวน 1700 ที่เหลือนี้ สามารถ Debit อะไรเข้ามาในชีวิตบ้าง ???
1.  หนังสือน่าอ่าน  4-5 เล่ม
2. แป้งรีฟิวของดิออร์  1 ตลับ
3. ลิปสติกสวยๆขั้นเทพแบบ MAC Nars BB   3 แท่ง
4. ครีมบำรุงหน้าอย่างดี       2    กระปุก
5. Hada Labo เล็ก            17   ขวด
6.ข้าวแกง                         57  จาน
7.ดูหนังได้                       18 ครั้ง
9.ซื้อน้ำเปล่าขวดลิตร         100 ขวด
10.ทริปไปเกาะล้าน แบบไปกลับ รถตู้ กินอาหารถูก พักโรงแรมหาร 2 และค่าเรือไปกลับ ได้ 1 ทริป

      ดังนั้น  เมื่ออยากแล้ว ให้ไปนอน ถ้าตื่นมายังอยาก ให้นอนใหม่ ถ้าตื่นมายังอยากอยู่ ก็..ซื้อเถอะค่ะ
ฮี่ๆๆๆ   อารมณ์ดี สำลีแปะหัวนะคะ :D

http://ninenile.blogspot.com/2013/03/make-up.html

วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2556

รีวิวเบส Base SHU Uemura UV under base mousse หน้าสวย ลุคใส ด้วยลุงชู

       สวัสดีค่าาาาาา  วันนี้สอบเสร็จไป 80% ดังนั้นเราจึงจะมา รีวิว เครื่องสำอางกันเสียที วี๊ดวิ้วววว

ขอประเดิมด้วย  SHU Uemura UV under base mousse  เบสมูสสุดเริ่ดดดดดด
    ตัวนี้บอกก่อนเลยว่า เหมาะสำหรับคำชอบลุคดิวอี้ค่ะ  เพราะทิ้งไว้แล้วไม่แมท  ปกปิดได้ปานกลาง
ถ้าวันไหนนอนดึก ก็ปิดแพนด้าได้โดยไม่ต้องใช้คอนซีลเลอร์นะคะ 

ราคา : 1690 บาท ไม่รวมราคาลดนะคะ

คุณสมบัติ :     เนื้อมูส เกลี่ยง่าย รวดเร็ว แต่ต้องเกลี่ยเร็วพอสมควรค่ะ เพราะว่าแห้งเร็ว ห้ามถูเพราะจะเป็นคราบ  ต้องทาไปทางเดียวกันนะคะ

ผลการใช้ :  ให้ความรู้สึกดีค่ะ กลิ่นหอมอ่อนๆ  ทาแล้วจะเป็นสีเดียวกับในหน้า ขาวกระจ่างขึ้นมาเลยค่ะ
เมื่อทาแป้งฝุ่นทับ จะได้ลุคใสๆ แบบญี่ปุ่น Make up no make up เลยค่าาา :D
     
 แต่สำหรับสาวๆที่ชอบแต่งหน้าแบบรู้ว่าแต่ง  อาจจะไม่ชอบ อาจจะคิดว่ามันไม่ค่อยต่างจากเดิม
T^T แต่มันใสนะคะ    ดังนั้นเหมาะกับผู้ที่ชอบลุคใสๆเลยค่าาาา :P



     อย่าตกใจ!!!!! อันนี้เพิ่งล้างหน้านะคะ  เปลือยหนังหน้าสดๆ และใต้ตาแพนด้าเรียกย่าทวดเลยค่ะ T^T
อันนี้ทาเบสชู ตามด้วยแป้งฝุ่น Translucent Shu นะคะ  ไม่มีคอนซีลเลอร์ ไม่มีกันแดด
ไม่มีอะไรเลยนอกจากนี้!!!!!!!!!!!!


เทียบกับแต่งเต็มกับดิออร์นะคะ เบสดิออร์ แป้งผสมรองพื้นดิออร์ กันแดด บรัชออน
อายไลเนอร์ มาสคาร่า โอ้ยยยย  ได้ไม่ค่อยต่างกันนะคะ รูปล่างนี่ ดิออร์ค่ะ



...........ผ่านไป 8 ชั่วโมงกับเบสชู โดยไม่เติมแป้งเลย    เดินห้าง กินชาบูชิ  เดินตลาดนัดต่อ ขึ้นสะพานลอย ต่อรถกลับถึงหอ
สภาพหน้าก็จะเป็น!!!!!!!  อย่างเน๊   แป้งยังอยู่ หน้ายังเนียนค่ะ  แต่มีมันบ้าง หมองนิดหน่อย
แต่ว่านั่นมัน 8 ชั่วโมงที่ทำได้สุดยอดมากกกกกก

ปอดท้ายด้วยรูปคู่กับ Brand embassador  ของอะไรซักอย่างง
ขำๆนะคะ  ฮี่ๆๆ




เราจึงสอยลุงชูมา ด้วยประการ ฉะนี้แล................


ป.ล.  อยากได้ดุ๊กดิ๊กมาติด Blog บ้างจังเลยค่ะ ต้องเสาะหาซะแร้ววววววว

ป.ล. 2 สำหรับหนุ่มๆที่หลงเข้ามาอ่าน บอกเลยว่าอย่าตกใจ อ่ะ อย่าตกจายยย มันเป็น
สัจธรรมชีวิตเพศหญิงค่ะ จุ๊ฟๆ :3

วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

Warm Bodies ชื่อนี้..มีแต่อร่อยยย(พระเอกอ่ะค่ะ)

          หลังจากสวัสดีกันไปแล้ว  ขอออกตัวก่อนนะคะว่า นายเป็นคนชอบอ่านนิยายมากกกกก
อ่านเรื่องแรกคือ รามเกียรติ์ ตอน ป.3 ติดใจ อ่านมาทุกแนวเลยค่ะ  ก่อนนอนคืนนี้เลยอยากจะรีวิว
 นิยายเรื่องที่เพิ่งสร้างภาพยนตร์  WARM BODIES นั่นเองงง  แต่นแต๊นนน

        หลังเข้าฉายเมื่อวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมาค่ะ เอ๊ะ แล้วทำไมชั้นเพิ่งมารีวิว  เหะๆ พอดีเพิ่งอยาก
ลองเขียนบล็อกดู   เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เดี๋ยวน้ำท่วม(ทุ่ง)

       เรื่องนี้ในหนังต่างจากหนังสือยังไง???  คำตอบคือ เสื้อผ้าพระเอกค่ะ ในหนังสือบรรยายว่า
พระเอกใส่เชิ้ต ผูกไท  ออกแนวเคยรวยค่ะ ทำงานแถววอลสตรีท อันนี้เว่อเอาเอง 
เนื้อเรื่องไม่ต่างกันค่ะ แต่ในหนังสือ นางเอกจะร่าเริงกว่านี้นิดนึง แต่ไม่โรแมนติกขนาดนี้นะคะ
แต่พระเอกนั้นนนน  อ่านไป เขินไป ทุบหมอนไป ยิ้มไป บ้าคนเดียวเลยค่ะ
น่ารักมากกกกกกก  ซึ่งในหนังก็ทำออกมาน่ารักไม่แพ้กันเลย  แต่มีตอนนึงที่ในหนังไม่มี
คือ พ่อนางเอกจะโดนซอมบี้แทะไปตอนจบค่ะ  สงสัยกลัวสะเทือนอารมณ์เกินไป เลยจบแบบ
Happy Ending   
        สำหรับคนที่อยากรู้เรื่องย่อนะคะ  อันที่จริงเรื่องนี้ก็สาระน้อยพอๆกับแวมไพร์สีรุ้ง กราบขอ อภัย
แฟนๆเฮียเจคและเฮียเอ๊ด มา ณ ที่นี้  เรื่องนี้คือพระเอกกินสมองของแฟนนางเอก แล้วหลงรักนางเอกค่ะ
จับตัวนางเอกมาเพื่อไม่ให้ซอมบี้ตัวอื่นกิน ( จริงๆอยากจะอยู่ใกล้ๆว่างั้นเหอะ!)  แล้วนางเอกก็ขอกลับบ้านค่ะ  พอนางเอกไป R ก็เศร้าา  เลยตามนางเอกไปถึงเมนสเตเดียม ดงมนุษย์ที่มีปืนพร้อมยิง
ซอมบี้ทุกตัวที่เข้ามา และพ่อนางเอกเป็นหัวหน้าทหารรร  แต่พระเอกก็บ่ยั่น ค่ะ  เพื่อความรักพระเอก
บุกไปถึงถิ่น  แต่เนื่องจากความรักทำให้พระเอกเริ่มกลายเป็นคน  พวกโบนนี่ เป็นซอมบี้กู่ไม่กลับค่ะ
อารมณ์ผู้เสพความตายในแฮรี่พอตเตอร์ :X  ก็ตามมาฆ่า เพื่อพระเอกและผองเพื่อนที่อยากกลับเป็นคน
ก็มาช่วยมนุษย์สู้กับบอนนี่จนชนะค่ะ   มนุษย์เริ่มยอมรับซอมบี้มากขึ้น   แล้วก็ปิ๊งป่องง  รอภาค 2

          ใครที่สนใจอ่านหนังสือนะคะ  ตอนนี้ฉบับแปลไทยมีให้จองแล้ว      แต่ส่วนตัวอ่านฉบับอังกฤษ  งูๆปลาๆ ศัพท์ไม่ยากค่ะ  และน่ารักมากกกก  ทีเดียวใครที่ติดใจเรื่องนี้ แนะนำให้อ่านนะคะ  อรรถรสดีกว่า  และที่สำคัญ!!!!!  มีภาค 2 ต่อค่ะ    นักเขียนเขาบอกมาแย้ววววว  วู้ฮู๊ววววว

      จบการรายงานเพียงเท่านี้   สำหรับวันนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ พี่น้องชาวไทย (ยืมเสียงคุณวู้ดดี้มาหน่อย)

กล่าว สวัสดี :)

ฮะ !!!! อะไรนะๆ ชั้นมีบล็อกแล้วหรออ. ก่อนหน้านี่อ่านของคนอื่น ดูดี มีสาระ    แล้วของเรา ทำมาทำมายยยยยย ไร้สาระ แป่ว! :(   เอาเป็นว่าขอสวัสดีอย่างเป็นทางการ ฟังดูเหมือนมีเรื่องให้ต้องรับผิดชอบมากขึ้นเลยค่ะ :D 

ฉลองเปิดบล็อกด้วย Disneyland HK