บทความแนะนำอ่าน:D

วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Work and Travel ตอน เอาชีวิตรอดใน New York City

      สวัสดีทุกคนนนน ไม่ได้อัพบล็อกมานานมากก  จนเขินเลยนะเนี่ยที่กลับมาเล่าเรื่องให้ฟังอีกครั้ง  คราวนี้จัดใหญ่จัดโต ยำยำจัมโบ้ก็ยังต้องหลบ!!!!!
             วันนี้ว่าด้วยเครื่องของการกิน เที่ยว ล้วนๆ  เนื่องจากเพิ่งกลับจากนิวยอค จริงๆก็กลับมาได้สักอาทิตย์ละ  แต่ว่ากลัวจะลืมเรื่องเด็ดๆ  เลนต้องมาอัพบล็อกเล่าให้ทุกคนได้เผือกกันน กิกิ ค่ะ อย่างที่ทุกคนถามว่าไปที่นู่นเป็นยังไงบ้าง  ใช้ชีวิตยังไง น่ากลัวมั้ย โอยย ร้อยแปดพันเก้า  จึงขอมาเล่าเรื่องในนี้ทีเดียวเลยนะคะ ม้วนเดียวจบ  ส่วนใครมีคำถามหลังไมค์ ก็ถามมาเลย เอาให้ใหญ่ เอาให็เต็ม  เรื่องนี้อาจจะเล่ายาวหน่อย คงมีหลายตอน  แต่อ่านกันนะ นะ นะ นะ นะ เก๊าขอวววรว๊องงงงง


location ฮิต Time Sq.

      เริ่มเรื่องก่อนว่า นายได้มีโอกาสไป Work and Travel  แล้วก็สอบผ่านเกณฑ์ภาษาได้ไปทำงานที่ร้าน Just Salad  พิกัดอยู่ตรง NYU ในแมนฮัตตันเลย  โอยย ฟังแล้วหะหรูหะหรา อลังการวังเว่อปร้ะล่าาา
  ก่อนเดินทางก็อย่างที่รู้กันค่ะ เตรียมภาษานิดหน่อย วีซ่า DS 2019 แล้วก็สิ่งสำคัญที่สุดในการไป               นิวยอค แทน แท๊นน CASH $$$$$$  นั่งเองง  ก็บินไปเลยค่ะ จองตั๋วเคร่องบินสายการบินเกาหลี ที่เขาว่ากันว่าแอร์สวย อาหารอร่อย  (แต่เราว่างั้นๆ)   พอไปถึงสนามบินอินชอนก็รอต่อเครื่อง  จนกระทั่งได้มาร่อนลงที่ JFK  ถามว่ามีรูปสนามบินมั้ยยย  ไม่มีค่ะ แป่ววว ตอนนั้นมันใจเต้นตึกตัก ยังกะฟังเพลงพี่บี้  เพราะเราไปคนเดียว เดินทางคนเดียว แบกกระเป๋าคนเดียว เราเลยตื่นเต้นมากก  เนื่องจากว่าได้บ้าน เพราะเราติดต่อขอเช่าบ้านไว้ตั้งแต่ที่ไทยค่ะ  มีที่อยู่มา  เราก็เอาเลยค่ะ  โบกแท็กซี่หน้าสนามบิน ด้วยความสวยๆ ก็ขึ้นรถบอกปลายทาง ยื่นที่อยู่  แต่ ปัญหาแรกก็เกิดดด  แท็กซี่ไม่รู้ที่อยู่นั้น เปิด GPS กันให้วุ่น  เราก็ช่วยเปิดจากมือถือ วุ่นวาย  จอดรถกลางทางดวน มาช่วยแท็กซี่ดูแผนที่ คืออัลไลลลอ้ะ ตกใจค่ะ ตอนนั้นคิดไปเรื่อย ว่ามันหลอกป่ะวะ  มันจะเอาเราไปขายมั้ย มันต้มเราแน่ๆ  เห้ยย มันจะทุบหัวเอาตังเราแหง  แต่ก็เปล่าค่ะ เหะๆ มโนไปเอง  เค้าว่าส่งถึงบ้านเราได้ ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงเองจากสนามบิน  จ่ายไป 40 เหรียญ  แล้วก็เดินหาบ้าน  ในที่สุดก็เจอบ้านนน   พี่ก้อยที่เป็นเจ้าของบ้านมารับ และใจดีมากกก



                                                      โฉมหน้าพี่ก้อยฉุดฉวยสะบึ้มกระหึ่มโลก 
วันแรกเราเจ็ทแลก นอนไปเยอะค่ะ  ตื่นมากลางดึก  แล้วก็เตรียมตัวไปติดต่องาน การเดินทางที่นี่ใช้ซับเว  เราสามารถซื้อบัตรรายวัน รายสัปดหา์ หรือรายเดือนแบบ unlimited เลยก็คุ้มสุดๆ เพราะจ่าย 112 เหรียญ แล้วไปได้ทุกทีเลยค่ะ ทั้งซับเว และบริการรถเมล์      เรียกว่าเรื่องคมนาคมนี่สะดวกทั่วถึงจริงๆ เนื่องจากที่นิวยอคต้องหาบ้านเอง  ติดต่อนายจ้างเองอีกที  เราก็ไปที่สำนักงานใหญ่ของจัสสลัด   ปรากฎว่าเค้าต้องสัมภาษณ์เราอีกรอบ  และต้องให้เราไปเทรนงานก่อนจนกว่าเค้าจะพอใจ ( แต่ได้ตังค่ะ )  เราก็นัด HR ไว้ แต่เข้าบอกให้มาหาอีกที   เราก็เลยเดินเที่ยวแถว Lexington  เป็นถนนสายที่มีร้านรวงพอสมควรค่ะ  แต่เดี๋ยวจะอัพให้อีกที ว่าด้วยเรื่องกินเที่ยวของถนน แต่ละสายเลยทีเดียว   
       เดินไปเรื่อยๆเที่ยวถึง Herald Sq. เข้าห้าง Macy's เดินไปอีกๆ  เดือนที่เราไปคือเดือนมีนาค่ะ ยังหนาววมากกก ติดลบอยู่เลยค่ะ เพราะปีนี้หนาวนาน เราก็สู้ค่ะ เดินต่อไปอย่างหนาวๆ เที่ยวไปเรื่อยๆ เหมือนเดินในช่องฟลีทตู้เย็น ชั้น หนาววววตั้งแต่รังแคหัวจนถึงขี้เล็บนิ้วโป้งเท้า  ไม่รู้จะอธิบายยังไง 


                                                 น้ำในแม่น้ำยังเป็นน้ำแข็งอยู่เลยยย


   แป๊บเดียว กลับบ้าน นอน วันรุ่งขึ้นไปหา HR อีกที  แต่คราวนี้ไม่ไปตัวเปล่า  เราพกของสำคัญที่สุดไปด้วยค่ะ นั่นคือ... ของฝากจากไทยแล่นนน 5555  ไปถึง พอสัมภาษณ์เราให้ของฝากก่อนเลย ผ้าทอมือจากไทยแล่น  นางดีใจมากกกก  บอกว่าเา sweet โอ๊ยย สาระพัด นั่นไงง เข้าทางเราเลย  เราเลยได้เริ่มงานวันนั้นเลย อุคริ อุคริ อุคริ  สาขาที่เราต้องไปเทรนงานคือสาขาตรง NYU ค่ะ แล้วจุดเริ่มต้นของงานหนักหฤหรร์เขย่าขวัญสั่นประสาทก็เกิดขึ้นนน    งานนี้โหดค่ะ  เพราะร้านอาหารในนิวยอคนั้นมีมาตรฐานมากมายเหลือคณานับจริงๆ เดี๋ยวอยู่ๆก็มีองค์กรอะไรไม่รู้มาตรวจ  ต้องเอาใจลูกค้าสารพัด  เราต้องสต็อคของสลัดบาร์ ซึ่งมีของให้เลือกเป็นร้อยๆอย่าง!!!!  แบกของหนักกว่า 10 โล ขึ้นลงจากชั้นใต้ดินขึ้นมา  ไปเอาของจากห้องฟรีซ แล้วต้องรับลูกค้า ตักสลัด  ทำทุกอย่างเลยยยย   แรกๆสนุกดีค่ะ แต่พอเวลาผ่านมาเรื่อยๆเริ่มเหนื่อย  เพราะเราโดนตารางงานโหด  หลังจากทำงานนี้ไปครบ สัปดาห์ เราก็ได้บรรจุทำสาขานี้เลย  นางบอกว่าเราทำงานคล่อง ค่ะ ดีค่ะ ใช่ค่ะ ยกของทั้งวันค่ะ  แล้วเราก็ได้ตารางงานสัปดาห์ละ 40-42 ชั่วโมงแล้วแต่  แต่ตัดเวลาพักไปที่เราต้อง Clock out ตลอด เราก็ไม่เคยได้ OT ล่วงเวลาเลย คิดแล้วเศร้าาา  เพราะเราทำงานไม่เกี่ยงมาตลอดเลย  แลวเวลาก็ผ่านไปๆ ในส่วนของการทำงาน เราได้เจอเพื่อนที่น่ารักจากเชียงใหม่ นางชื่อเตย  ซึ่งต่อจากนั้นมาเราก็ไปช้อปปิ้ง กิน เที่ยว สารพัดจะทำกันต่อหลังจากนั้น   เพื่อนร่วมงานที่มีทั้งนา่รัก นิสัยดี สอนงาน และอู้งานตามลำดับ


  

รูปแฮปปี้หนึ่งเดียวของเรา T_T
   เราทำงานมา เดือนค่ะ  ระหว่างนั้นก็มี Trainee ใหม่ๆเข้ามาแล้วออกไป  จากเดิมที่เราเป็น Trainee เราได้เลื่อนเป็น Employee ซึ่งเราจะได้เป็นคนเทรนพวกเทรนนีต่อไป                แต่ปัญหาการทำงานก็เกิดค่ะ เวลามีคนเปลี่ยนตาราง  และที่ใหญ่สุดคือ มีคนมาตรวจร้านเรื่องความสะอาดแล้วไม่ผ่าน  เพราะว่าเจอแมลงในผัก  ค่ะ ดี ค่ะ เราต้องจัดการเรื่องอุณหภูมิ  ต้องเปลี่ยนระบบ  โอยเอาของที่ฟรีซห้ามวางทิ้งไว้  ต้องวัดอุณหภูมิด้วยเทอโมมิเตอร์ก่อนทุกครั้ง  ต้องเอาน้ำแข็งมาแช่ นู่นนี่นั่น  เหนื่อยกว่าเดิมค่ะ  ที่เหนื่อยกว่าอีกคือ วันหยุดเราต้องทำงานร้านคนเดียวหรืออาจจะ คน  ทั้งที่ปกติเราต้องเป็นคนปิดร้าน อยู่ถึง ทุ่มครึ่ง อาทิตย์ละ วันอยู่แล้ว   ที่เหนื่อยกว่านั้นอีก คือ  เมเนเจอร์มี คน ตอนกลางวัน คน ช่วงกะดึกอีก คน แต่คนที่ใหญ่สุด นางร้ายมากกก  ไม่ว่าเราจะขอลดชั่วโมง ขอเวลาว่างเพิ่ม  ขอไม่ทำวัน memorial day  นางก็จะไม่มีวัน ไม่มีวัน ให้เลยยยยย   นางจะมีสำเนียงแดะๆของนางว่า Alright you can't cuz we need you. แล้วสะบัดบ็อบบบ  ตลอดๆๆๆ  เราเลยทำงานหนักแบบนี้มา แต่ แต่ แต่ ที่หนักสุดๆ สุดๆ คือ เราลงเรียนคอร์ส finance real estate เอาใน Certificate ที NYU ค่ะ  





       เราเรียนวันเสาร์ โมงถึงบ่ายโมง  การบ้านเยอะมากตลอด และเรียนกับ Professor ซึ่งคอร์สที่เราเรียนนั้น คนที่เป็นเพื่อนร่วมคลาส ไม่มีนักเรียนเลยค่ะ  เป็นพวกเมเนเจอร์ และพวกมืออาชีพด้าน real estate ใน New York  ซึ่งเราไม่รู้เรื่องอะไรเลยยย เพราะเราเพิ่งผ่านปี และไม่ได้เอก Real Estate ค่ะ แถมยังเด็กที่สุดในคลาสด้วย  เราไม่รู้เรื่องอะไรเลยนอกจากการคิด Finance เกี่ยวกับพวก FV PV CAPM แค่นั้น ที่จำได้  เราเลยตัดสินใจซื้อหนังสือเรียนที่นั่น ซึ่งแพงมากกก  แพงมากๆ นิยายเล่มละ เหรียญแต่ Text book เล่มละ 200 กว่าเหรียญ ฮือออ น้ำตาไหลพราก  ค่าเทอมก็แพง หนังสือก็แพง ดังนั้นเราเลยตั้งใจเรียนมาก ไปนั่งฟังทุกคลาส ตื่นเช้าทุกวัน  เพราะต้องเผื่อเวลาเดินทาง  แม้จะมีซับเว แต่รถไฟใต้ดินที่นิวยอคนี่แล้วแต่อารมร์ค่ะ  บางวันนึกจะปิด จะเปลี่ยนราง จะเปลี่ยนสาย ก็ทำเลย  แล้วเวลาเดินทางจากควีนส์เข้าแมนฮัตตันก็เกือบชั่วโมง  เราตื่นเช้าไปเรียน นั่งอัดเสียง กลับมานั่งทำการบ้าน ซึ่งเรียน Finance ที่นู่นนั้น ไมใช้เครื่องคิดเลข เปิดตารางเหมือนบ้านเรา  แต่ใช้ excel ซึ่งเราไม่เคยเรียนเลย ไม่เคยรู้เลย  ต้องมานั่งคลำ หาทางเอา ติดต่อprofessor ถามเรื่อง ฟังชั่นเอา  แล้วนั่งอ่านตำราเอง นานมากๆ เพราะเป็นภาษาอังกฤษ เป็นศัพท์เฉพาะด้วย  เราทำงานเสร็จเลิก ทุ่มครึ่ง ถึงบ้าน ทุ่มครึ่ง กินข้าวเย็นตอนเที่ยงคืน  อ่านหนังสือตั้งแต่เที่ยงคืนครึ่งถึงตีสี่ แบบนี้เกือบทุกวัน เพราะไหนจะอ่านทำความเข้าใจ ไหนจะทำการบ้าน ทุกอย่างทำให้เราเหนื่อยมากๆ ค่ะ




        พอสอบ take home ครั้งแรกมิดเทอม เราได้คะแนนดี ได้ 93/100  แต่พอสอบ final ซึ่งณ เวลานั้น เนื้อหายากขึ้นเรื่อยๆ และเราก็ไม่ค่อยเข้าใจด้วย บวกกับการทำงานหนัก ไม่ได้พักผ่อน เราล้ามากก ทำคะแนนได้แค่ 56/100 เราเลยได้เกรด B- มา  ตอนอาจารณ์บอกเกรด อาจารย์เรียกเราไปคุยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเราอธิบาย  อาจารย์ก็เข้าใจว่าเราเด็กด้วย ไม่มีประสบการณ์ด้วย ทำงานด้วย นางเลยให้ผ่านเรียนคอสต่อไปได้ค่ะ  แต่ตอนนั้นเราไม่ไหวแล้ว เรายังหยุดไว้ก่อน กะว่าจะมาเรียนออนไลน์เอา

    ระหว่างนั้นในเดือนแรก  มีช่วงเวลาสนุกๆมาคั่นความเครียดไว้ก็เยอะ  เช่น วันเซนต์แพทริก เป็นวันของชาวไอริช  แต่งตัวสีเขียว เดินขบวนกัน   วันนั้นหนาวมากก แต่สนุกดี  เพราะพอเราถ่ายรูปจะมีฝรั่งมาขอถ่ายด้วย  กลายเป็นถ่ายรูปแก๊งซะอย่างนั้น  แถมช่วงเวลาหนาวๆแบบนี้  ถ่ายรูปสวยดีค่ะ ได้อารมณ์ 


    นอกจากนี้เราก็ได้ไปปลดปล่อยอารมณ์จากความเครียดดด ด้วยการชอปปิ้ง ( อิอิ รู้นะว่าเดาออก )  เราซื้อของกลับบ้านมาเพียบมากก ทั้งชุดเครื่องนอน ( ซึ่งตอนซื้อไม่คิดเล้ยย มาจะเอากลับยังไง ) ก็เลยได้แต่ซื้อๆๆ ขนาดช็อคโกแลตยังซื้อเยอะ  เพราะโปรโมชั่นได้ช็อคโกแลตซื้อครบ 10 เหรียญแถม หัวใจช็อคยักษ์ แล้วมันก็ cute สุดๆไม่เชื่อ ดูวววว


                                      เห็นมะ ใหญ่และคิ้วท์เว่อๆ  ก็เลยซื้อมา

แต่ๆยังไม่พอจายย ซื้อมันเข้าไป แม้แต่ผ้าเช็ดตัวยังซื้อ  งิ้งๆๆ  ก็มัน  Vera Wang เลยนะ จ่ะ ข้ออ้างตล่อดดดด   จนมารู้ตัวอีกทีสายเสียแล้วอนิจจาภาคิไนย  ต้องส่งของกลับไทยด้วยเรือเอยยย   ค่ะ จึงได้ติดต่อขอส่งของขึ้นเรือกลับไทย เป็นกล่องๆ  กล่องนึงกี่กิโลก็ได้  เราเลยส่งไปเสียไป 125 เหรียญส่งจากนิวยอคไปลงกรุงเทพ  และค่าส่งในไทยอีก 50 เหรียญค่ะ  ของทั้งหมดก็....

                                    ของขุ่นแม่ทั้งน๊านนนนนนน ฮืออออออ
          
โห๊ย พิมพ์เหนื่อยและ ที่เล่ามานี่ยังผ่านไปแค่เดือนแรกเอง   ต่อไปจะเป็นยังไง ต้องติดตามชมนะคะ....


1 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าน่านัก น่ารัก ในนิวยอร์ค ของน้องนะคะ :)
    น้องอะตอม คะ พอดีพี่สนใจ จะเรียน Investment Banking Certificate ที่ NYU อยู่ พี่ขอ email address น้องได้เปล่าคะ เพื่อจะสอบถามข้อมูลเพิ่มน่ะค่ะ nuchnaka@windowslive.com email พี่ค่ะ

    ถ้าเตรียมตัวทันอาจจะได้เจอกัน summer หน้าค่ะ

    ขอบคุณนะคะ

    ตอบลบ